โดย จันทร์เพ็ญ กิตติเวทย์วิทยา BBLAM
ในปีนี้ตลาดหุ้นไทยเรียกได้ว่า ไม่ไปไหน แม้ว่าตั้งแต่ต้นปีดูเหมือนจะมีความหวังว่า ทั้งเศรษฐกิจและตลาดหุ้นน่าจะฟื้นตัวได้ดี จากปัจจัยบวกด้านการเลือกตั้งในประเทศและการเติบโตทางเศรษฐกิจ จากการเปิดประเทศของจีนก็ตาม แต่ด้วยหลายๆ ปัจจัยที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ทำให้ทิศทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นดูแย่ไปด้วย เช่น สงครามยูเครน-รัสเซีย (ส่งผลกระทบต่อต้นทุนพลังงาน การขนส่ง และราคาสินค้า Commodities) การจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้าของไทย (ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการปรับใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ) รวมไปถึงเศรษฐกิจจีนและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ การเปิดประเทศของจีนทำให้ไทยคาดหวังต่อการกลับมาท่องเที่ยวใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวจีนในปีนี้อย่างมาก แต่ปรากฏว่าในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยเข้ามาเพียง 17.87 ล้านคน จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 25 ล้านคน และนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เข้ามาในปัจจุบันมีแค่ 2.2 ล้านคน จากเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งไว้ 5 ล้านคน (เทียบกับระดับ Pre-covid 2019 นักท่องเที่ยวชาวจีนอยู่ที่ 10.6 ล้านคน) โดยสาเหตุที่ทำให้นักท่องเที่ยวยังกลับมาเที่ยวไทยไม่มากเท่าในอดีตนั้น มาจากเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอลงทำให้กำลังซื้อและการใช้จ่ายลดลง และที่ผ่านมา ไทยยังมีปัญหาเรื่องการขอวีซ่าที่ล่าช้าและยังมีข่าวเรื่องความไม่ปลอดภัยจากการเดินทางมาเที่ยวที่ไทยในกระแสโซเชียลของจีน นอกจากนี้ จีนยังเน้นส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวในประเทศตัวเองมากขึ้นอีกด้วย รวมทั้งอำนวยความสะดวกในการเดินทางไปฮ่องกงและมาเก๊าให้ง่ายขึ้นส่งผลให้สัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางกลับไปเที่ยวฮ่องกงและมาเก๊าสูงกว่า 33-34% ของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนทั้งหมดที่ออกเดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งสูงเกินกว่าระดับ Pre-COVID แล้วที่ 26% และ 16% ตามลำดับ นอกจากนี้ ไทยยังมีคู่แข่งที่มากขึ้นหลังจากที่ล่าสุดทางการจีนได้ผ่อนปรนเพิ่มเติมสำหรับกรุ๊ปทัวร์ให้ออกเดินทางท่องเที่ยวในประเทศต่างๆ ได้มากขึ้นในช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึง สหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมนี ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น เป็นต้น
อีกสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญ คือ เรื่องของพฤติกรรมและค่านิยมในการท่องเที่ยวของชาวจีนที่เริ่มเปลี่ยนไป เพราะจากอดีตที่เคยมาเที่ยวแบบเป็นกรุ๊ปทัวร์ แต่ปัจจุบันก็เริ่มเปลี่ยนเป็นการเดินทางมาท่องเที่ยวเองมากขึ้น ส่งผลให้กรุ๊ปทัวร์จีนที่มาไทยลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด หรือกรุ๊ปทัวร์ กลับมาเพียง 5-15% ของปี 2019 และยังเน้นการท่องเที่ยวแบบ Speed Tourism หรือเน้นการท่องเที่ยวแบบให้ได้มากสถานที่มากประสบการณ์ที่สุดภายในระยะเวลาที่สั้นลงอีกด้วย
อย่างไรก็ดี การท่องเที่ยว คือ ประตูรายได้ที่ “สำคัญ” และ “รวดเร็ว” ที่สุดในการกระจายรายได้ให้ประชาชน ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย จึงตั้งเป้าหมายกระตุ้นการท่องเที่ยวให้กลับมาเป็น “รายได้หลัก” ของประเทศ ซึ่งล่าสุดนอกจากการออกมาตรการฟรีวีซ่าให้แก่ชาวจีนและคาซัคสถานแล้ว ยังตั้งเป้าหมายให้ไทยต้องกลับมามีรายได้จากการท่องเที่ยว จากเดิม 1.9 ล้านล้านบาท เป็น 3.3 ล้านล้านบาท ภายในปี 2567 โดยมีแผนเร่งเจรจากับประเทศต่างๆ เพื่อปลดภาระในการขอวีซ่าและยกระดับหนังสือเดินทางไทยให้สามารถเดินทางไปทั่วโลก ขณะที่ ระยะยาวจะวางตัวให้ไทยเป็น “Festival Hub of Asia” โดยการสร้างเทศกาลไทยให้ไปถึงระดับโลกและดึงเทศกาลระดับโลกมาจัดในประเทศไทย รวมทั้งสร้างไทยให้เป็น “Regional Transport Hub” ทั้งในด้านผู้โดยสารและการขนส่งสินค้าทางอากาศ และยกระดับสนามบินนานาชาติให้สามารถรองรับนักท่องเที่ยวจำนวน 120 ล้านคนภายในปี 2570 ดังนั้นแล้วจึงคาดว่า หลังจากที่เราได้มีการจัดตั้งรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อย เราจะได้เริ่มเห็นการท่องเที่ยวของไทยกลับมาเติบโตได้อย่างต่อเนื่องอีกครั้งหนึ่ง รวมไปถึงการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ซึ่งน่าจะส่งผลดีมายังทิศทางของตลาดหุ้นไทยจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนนั่นเอง