BBLAM Weekly Investment Insights 6-10 พฤศจิกายน 2023

BBLAM Weekly Investment Insights 6-10 พฤศจิกายน 2023

The Rise of ASIA

INVESTMENT STRATEGY

By BBLAM

“B-SELECT ประจำไตรมาส 4 นี้ ผู้จัดการกองทุนให้คำแนะนำการลงทุนไปที่กองทุน B-DYNAMIC BOND, B-GLOBAL, B-BHARATA และ B-INNOTECH”

BBLAM แนะนำกองทุน

กองทุนลงทุนตราสารหนี้เน้นยืดหยุ่น : B-DYNAMIC BOND และ กองทุนลดหย่อนภาษี : B-DYNAMICRMF และ  B-DYNAMICSSF 

กองทุนลงทุนหุ้นคุณภาพจากทั่วโลก : B-GLOBAL หรือกองทุนลดหย่อนภาษี B-GLOBALRMF 

กองทุนลงทุนอินเดีย : B-BHARATA หรือกองทุนลดหย่อนภาษี ได้แก่ B-INDIAMRMF และกองทุน SSF เลือก B-ASIASSF

กองทุนลงทุนในเทคโนโลยี แต่พยายามเฟ้นหาหุ้นเทคฯ พื้นฐานดี มูลค่ายังน่าลงทุน : B-INNOTECH หรือกองทุนลดหย่อนภาษี ได้แก่ B-INNOTECHRMF และ B-INNOTECHSSF

Market & Economy

GLOBAL

By BBLAM

“ปัจจัยด้านเศรษฐกิจมหภาคที่ส่งผลต่อการลงทุนในเดือน ต.ค.-พ.ย. ได้แก่ GDP ไตรมาส 3/2023 สะท้อนภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ, สงครามและนัยยะต่องบประมาณคลังสหรัฐฯ และเครื่องชี้ด้านการส่งออกเริ่มส่งสัญญาณ Bottoming-Out”

Fixed Income

GLOBAL

By BBLAM

“ปัจจัยภายในประเทศที่ยังคงกดดันตลาดมาจากความกังวลต่อปริมาณพันธบัตรที่จะเพิ่มขึ้นจากมาตรการภาครัฐ โดยเฉพาะมาตรการแจกเงินดิจิทัล ขณะที่ ปัจจัยภายนอกประเทศมาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปีที่ปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับ 5%  ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 16 ปี”

ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยที่อายุคงเหลือมากกว่า 1 ปียังคงปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดือนก่อน  จากแรงกดดันจากทั้งปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ โดยปัจจัยภายในประเทศที่ยังคงกดดันตลาดมาจากความกังวลต่อปริมาณพันธบัตรที่จะเพิ่มขึ้นจากมาตรการภาครัฐ โดยเฉพาะมาตรการแจกเงินดิจิทัลที่อาจต้องใช้วงเงินสูงถึง 560,000 ล้านบาท  ขณะที่ ปัจจัยภายนอกประเทศมาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปีที่ปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับ 5%  ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 16 ปี เป็นผลมาจาก

  1. ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่งและออกมาสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรและยอดค้าปลีกที่ยังขยายตัวดี   
  2. สถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอล – กลุ่มฮามาส ที่ปะทุขึ้นในช่วงกลางเดือนต.ค.   และ
  3. ความกังวลต่อปริมาณพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตตามการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยระยะสั้นปรับตัวลดลงตามความต้องการของนักลงทุนที่สูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนต้องการหลีกเลี่ยงความผันผวนของราคาพันธบัตรระยะยาว      

สำหรับผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในวันที่ 31 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายน เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้  โดย Fed มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 5.25-5.50% เป็นการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งที่ 2 ติดต่อกัน   ขณะที่ รายงานการประชุมของ Fed ออกมาใกล้เคียงกับการประชุมครั้งก่อน   ซึ่ง Fed มีมุมมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีทิศทางการขยายตัวที่แข็งแกร่งในไตรมาสที่ 3  การจ้างงานยังคงอยู่ในระดับดี และอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง   ทั้งนี้  Fed แสดงความกังวลต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมาที่อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ  การจ้างงาน และอัตราเงินเฟ้อในอนาคตได้  อย่างไรก็ตาม  Fed ยังคงเปิดช่องต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อไป หากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังไม่มีแนวโน้มกลับเข้าสู่กรอบเงินเฟ้อในระยะยาวของ Fed

สำหรับปัจจัยและความเสี่ยงที่ต้องติดตาม คือ  สถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอล – กลุ่มฮามาสที่จะขยายวงกว้างไปยังกลุ่มประเทศอาหรับหรือไม่   ซึ่งจะเป็นปัจจัยกำหนดทิศทางราคาน้ำมันและแนวโน้มเงินเฟ้อทั่วโลก  สำหรับปัจจัยภายในประเทศ   ตลาดยังคงให้ความสนใจต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทั้งเรื่องมาตรการแจกเงินดิจิทัล และมาตรการลดค่าครองชีพต่างๆ ที่จะส่งผลต่อการขาดดุลทางการคลังและปริมาณพันธบัตรรัฐบาลที่จะออกสู่ตลาดแรกในอนาคต  

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ https://www.bblam.co.th/bualuang-insights/bblam-investment-insights/6-10-2023-1