สรุปภาพรวมตลาดตราสารทุนไทยใน 1Q/2018
ตลาดหุ้นไทยเปิดปี 2018 ด้วยการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องมาจากปีที่ผ่านมาจากการปรับขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานซึ่งหนุนด้วยราคาน้ำามันในตลาดโลก และหุ้นกลุ่มพาณิชย์บางตัวด้วยความคาดหวังต่อการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ ก่อนที่ตลาดจะเริ่มปรับฐานลงมาในช่วงเดือน ก.พ. ต่อเนื่องมายังเดือน มี.ค. หลังจากที่การเลือกตั้งในประเทศ มีแนวโน้มจะถูกเลื่อนออกไป จากเดิมที่คาดกันว่าจะถูกจัดขึ้นภายในปีนี้ ประกอบกับความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ เร็วกว่าที่คาด อีกทั้งยังมีประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนซึ่งกดดันตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงมีแรงขายหุ้นบางตัวโดยเฉพาะหุ้นที่มีราคาแพงกว่าปัจจัยพื้นฐานออกมา
สรุปภาพรวมตลาดตราสารหนี้ไทยใน 1Q/2018
ตลาดตราสารหนี้ไทยในช่วงไตรมาสแรกเคลื่อนไหวค่อนข้างผันผวน โดยอัตราผลตอบแทนระยะสั้นไม่เกิน 3 ปี ปรับตัวลดลง 0.07% ถึง 0.14% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเข้าซื้อตราสารระยะสั้นของนักลงทุนต่างชาติเพื่อพักเงินและหวังจะได้กำไรจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น อย่างไรก็ตาม ประเด็นการเปลี่ยนมุมมองของนักลงทุนต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดที่เร่งตัวขึ้นสอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อสหรัฐที่เพิ่มขึ้น รวมถึงความเสี่ยงทางด้านสงครามการค้าที่เร่งตัวขึ้นทำให้เกิดแรงขายในตลาดพันธบัตรไทยในช่วงปลายไตรมาส
กลยุทธ์การลงทุน
ผู้จัดการกองทุนยังคงเน้นการลงทุนในหุ้นของบริษัทคุณภาพที่มีรูปแบบธุรกิจที่เข้มแข็ง มีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดสูง และมีแนวโน้มการจ่ายปันผลดีอย่างสม่ำเสมอ โดยผู้จัดการกองทุนได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นในช่วงที่ตลาดผันผวนและราคาหุ้นของบริษัทที่มีคุณภาพดีลดต่ำลงกว่าราคาที่ควรจะเป็น รวมถึงได้ลดสถานะการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ราคาหุ้นขึ้นมามากกว่าราคาที่ควรจะเป็น และ/หรือแนวโน้มของอุตสาหกรรมหรือบริษัทอาจแย่ลงในอนาคต เช่น อาหาร/เครื่องดื่ม ธนาคาร พลังงาน โดยเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในอุตสาหกรรมพาณิชย์ การแพทย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นกว่าไตรมาสก่อนหน้า
สำหรับตราสารหนี้ยังคงเป็นสินทรัพยหลักที่มีคุณค่าสำหรับพอร์ตการลงทุน โดยผู้จัดการกองทุนยังคงมุ่งหวังผลตอบแทนระยะสั้นถึงกลางให้สูงกว่าดัชนีชี้วัดโดยเน้นการลงทุน ทั้งในตราสารภาครัฐและเอกชนที่ให้ผลตอบแทนสอดคล้อง เหมาะสมกับความเสี่ยง โดยในช่วงไตรมาส 1Q/2018 กองทุนได้ลดสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ลงเพื่อเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุนแทน รวมถึงเป็นการขายทำกำไรในตราสารภาครัฐสืบเนื่องจากการลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (ราคาพันธบัตรเพิ่มสูงขึ้น) ที่อายุน้อยกว่า 3 ปี
ปัจจัยบวกและลบต่อการลงทุนในระยะถัดไป
(+) เศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวต่อเนื่องโดยเฉพาะภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว
(+) อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นยังไม่เป็นแรงกดดันให้ ธปท. ต้องเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ ส่งผลบวกต่อการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นถึงกลาง
(+) ความกังวลประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนได้คลี่คลายลงหลังทั้งสองประเทศได้บรรลุข้อตกลงการทำสงครามการค้าชั่วคราว
(+/-) ทิศทางค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มผันผวนจากปัจจัยต่างประเทศ
(-) การเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ ก่อให้เกิดความวิตกกังวลว่ากระแสเงินทุนจะไหลออกจากกลุ่มตลาดเกิดใหม่
มุมมองตลาดหุ้นไทย
โดยภาพรวมเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะยืนระดับได้ดีขึ้น โดยอาจมีความผันผวนอยู่บ้าง แต่โอกาสที่ตลาดจะปรับตัวขึ้นได้มากนั้นยังมีค่อนข้างจำกัด เนื่องด้วยความตึงตัวของ Valuation ประกอบกับขาดปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาผลักดันตลาด
มุมมองตลาดตราสารหนี้ไทย
การเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐและการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์อาจส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเทขายตราสารหนี้ไทยต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ตลาดตราสารหนี้ไทยยังคงได้รับปัจจัยหนุนจากสภาพคล่องในประเทศที่ค่อนข้างสูง ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนจากปัจจัยต่างๆ ภายนอกประเทศลงไปได้