ตลาดหุ้นโลกในเดือนธันวาคมปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 4.8% จากเดือนที่มา โดยได้รับแรงหนุนจากผลการประชุมของเฟดที่คงดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 นอกจากนี้ยังมีการปรับลด Dot Plot ลงจากการประชุมครั้งก่อนหน้า โดยได้คาดการณ์ว่าในปี 2567 อัตราดอกเบี้ยคาดการณ์จะอยู่ที่ 4.6% ลดลงจากเดิมที่ 5.1% และในปี 2568 จะปรับลดลงเหลือ 3.6% จากเดิมที่ 3.9% ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับภาพเศรษฐกิจของสหรัฐฯมีทิศทางในเชิงบวก หลังจากที่เงินเฟ้อมีการชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าเศรษฐกิจในปี 2566 จะมีการชะลอตัวลงแบบ Soft Landing ซึ่งดีกว่าที่ตลาดเคยกังวลในช่วงก่อนหน้า ในทางกลับกันตลาดหุ้นในฝั่งเอเซียนำโดยตลาดจีนปรับตัวลดลงในเดือนธันวาคม จากความกังวลต่อภาพของเศรษฐกิจที่ยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัว โดยล่าสุดทาง Moody’s ได้ออกมาลดลงมุมมองของอันดับความน่าเชื่อถือของจีนลงสู่ระดับ Negative เนื่องจากปริมาณหนี้มหาศาลในจีน ประกอบกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของประเทศในระยะกลางถึงระยะยาว ทำให้มีโอกาสเห็นทางรัฐบาลกลางจะออกมาสนับสนุนทางการเงินอย่างการออกตราสารหนี้ให้กับรัฐบาลท้องถื่นมากขึ้น เพื่อสนับสนุนความเข้มแข็งทางการคลังของประเทศในอนาคต นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่ทางภาครัฐบางจีนกลับมาคุมเข้มอุตสาหกรรมเกมออนไลน์อีกครั้ง ด้วยปัจจัยข้างต้นจึงทำให้ตลาดหุ้นจีนได้รับ Sentiment เชิงลบอย่างต่อเนื่อง
ภาพรวมแล้วตลาดหุ้นโลกในปี 2566 ถือเป็นปีที่ให้ผลตอบแทนได้ดี โดยดัชนี MSCI World ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 21.8% และดัชนีที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดคือดัชนี NASDAQ ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดกว่า 43.4% จากการที่หุ้นกลุ่ม Technology ได้กระแสตอบรับจากความก้าวหน้าทางด้าน AI พัฒนาการที่ดีขึ้นของการใช้จ่ายทางด้าน Cloud และการฟื้นตัวของอุตสาหกรรม Semiconductor ในทางกลับกันหุ้นในกลุ่ม Consumer Staple ให้ผลตอบแทนติดลบจากแรงกดดันของอัตรากำไรที่ต่ำลง โดยในปัจจุบันการปรับตัวขึ้นของตลาดสหรัฐฯ ทำให้มี Valuation อยู่ในระดับที่ตึงตัว จึงมีโอกาสเห็นเม็ดเงิน flow ไปยังตลาดหุ้นในภูมิภาคอื่นได้ในอนาคต
สำหรับตลาดหุ้นไทยในเดือนธันวาคมปรับตัวสูงขึ้น 2.58% จากเดือนที่ผ่านมา โดยในครึ่งแรกของเดือนมีการปรับตัวลดลงก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นในครึ่งหลังของเดือน โดยมีแรงหนุนจากปัจจัยภายนอกจากมุมมองว่า FED ที่มีแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ยได้เร็วกว่าคาด ในขณะที่ปัจจัยภายในประเทศ แม้จะยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ในระยะสั้น แต่คาดว่าภาวะเศรษฐกิจไทยน่าจะไม่แย่กว่าช่วงที่ผ่านมา และยังคงมีความคาดหวังต่อเศรษฐกิจในปี 2567 ที่มีโอกาสฟื้นตัวสูงที่ 3.2% อยู่ โดยมาจากภาคการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังคาดว่าจะเห็น Sentiment เชิงบวกจากมาตรการต่างๆจากทางภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น Easy E-Receipt การตรึงราคาพลังงาน การสนับสุนการลงทุนจากต่างประเทศ และการผ่านร่างงบประมาณปี 2567 ที่จะช่วยผลักดันการใช้จ่ายลงทุนภาครัฐให้ฟื้นตัวขึ้น ซึ่งเป็นผลทำให้ตลาดหุ้นไทยน่าจะทยอยดีขึ้นต่อจากนี้
Fund Comment
Fund Comment ธันวาคม 2566: ภาพรวมตลาดหุ้น
ตลาดหุ้นโลกในเดือนธันวาคมปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 4.8% จากเดือนที่มา โดยได้รับแรงหนุนจากผลการประชุมของเฟดที่คงดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 3 นอกจากนี้ยังมีการปรับลด Dot Plot ลงจากการประชุมครั้งก่อนหน้า โดยได้คาดการณ์ว่าในปี 2567 อัตราดอกเบี้ยคาดการณ์จะอยู่ที่ 4.6% ลดลงจากเดิมที่ 5.1% และในปี 2568 จะปรับลดลงเหลือ 3.6% จากเดิมที่ 3.9% ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับภาพเศรษฐกิจของสหรัฐฯมีทิศทางในเชิงบวก หลังจากที่เงินเฟ้อมีการชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าเศรษฐกิจในปี 2566 จะมีการชะลอตัวลงแบบ Soft Landing ซึ่งดีกว่าที่ตลาดเคยกังวลในช่วงก่อนหน้า ในทางกลับกันตลาดหุ้นในฝั่งเอเซียนำโดยตลาดจีนปรับตัวลดลงในเดือนธันวาคม จากความกังวลต่อภาพของเศรษฐกิจที่ยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัว โดยล่าสุดทาง Moody’s ได้ออกมาลดลงมุมมองของอันดับความน่าเชื่อถือของจีนลงสู่ระดับ Negative เนื่องจากปริมาณหนี้มหาศาลในจีน ประกอบกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของประเทศในระยะกลางถึงระยะยาว ทำให้มีโอกาสเห็นทางรัฐบาลกลางจะออกมาสนับสนุนทางการเงินอย่างการออกตราสารหนี้ให้กับรัฐบาลท้องถื่นมากขึ้น เพื่อสนับสนุนความเข้มแข็งทางการคลังของประเทศในอนาคต นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่ทางภาครัฐบางจีนกลับมาคุมเข้มอุตสาหกรรมเกมออนไลน์อีกครั้ง ด้วยปัจจัยข้างต้นจึงทำให้ตลาดหุ้นจีนได้รับ Sentiment เชิงลบอย่างต่อเนื่อง
ภาพรวมแล้วตลาดหุ้นโลกในปี 2566 ถือเป็นปีที่ให้ผลตอบแทนได้ดี โดยดัชนี MSCI World ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 21.8% และดัชนีที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดคือดัชนี NASDAQ ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดกว่า 43.4% จากการที่หุ้นกลุ่ม Technology ได้กระแสตอบรับจากความก้าวหน้าทางด้าน AI พัฒนาการที่ดีขึ้นของการใช้จ่ายทางด้าน Cloud และการฟื้นตัวของอุตสาหกรรม Semiconductor ในทางกลับกันหุ้นในกลุ่ม Consumer Staple ให้ผลตอบแทนติดลบจากแรงกดดันของอัตรากำไรที่ต่ำลง โดยในปัจจุบันการปรับตัวขึ้นของตลาดสหรัฐฯ ทำให้มี Valuation อยู่ในระดับที่ตึงตัว จึงมีโอกาสเห็นเม็ดเงิน flow ไปยังตลาดหุ้นในภูมิภาคอื่นได้ในอนาคต
สำหรับตลาดหุ้นไทยในเดือนธันวาคมปรับตัวสูงขึ้น 2.58% จากเดือนที่ผ่านมา โดยในครึ่งแรกของเดือนมีการปรับตัวลดลงก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นในครึ่งหลังของเดือน โดยมีแรงหนุนจากปัจจัยภายนอกจากมุมมองว่า FED ที่มีแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ยได้เร็วกว่าคาด ในขณะที่ปัจจัยภายในประเทศ แม้จะยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ในระยะสั้น แต่คาดว่าภาวะเศรษฐกิจไทยน่าจะไม่แย่กว่าช่วงที่ผ่านมา และยังคงมีความคาดหวังต่อเศรษฐกิจในปี 2567 ที่มีโอกาสฟื้นตัวสูงที่ 3.2% อยู่ โดยมาจากภาคการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังคาดว่าจะเห็น Sentiment เชิงบวกจากมาตรการต่างๆจากทางภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น Easy E-Receipt การตรึงราคาพลังงาน การสนับสุนการลงทุนจากต่างประเทศ และการผ่านร่างงบประมาณปี 2567 ที่จะช่วยผลักดันการใช้จ่ายลงทุนภาครัฐให้ฟื้นตัวขึ้น ซึ่งเป็นผลทำให้ตลาดหุ้นไทยน่าจะทยอยดีขึ้นต่อจากนี้