สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (29 ม.ค.) ว่า ศาลฮ่องกงมีคำสั่งให้บริษัท ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป (China Evergrande Group) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของจีน ยุติการดำเนินกิจการ ส่งผลให้หุ้นของ Evergrande ร่วงลง 21% ทำให้มูลค่าตลาดลดลงมาอยู่ที่ 2.15 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง (275 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ก่อนถูกระงับการซื้อขายวันนี้
ลินดา ชาน (Linda Chan) ผู้พิพากษาศาลสูงฮ่องกง ประกาศว่า กระบวนการการยุติกิจการอาจจบลงด้วยการเปลี่ยนบอร์ดบริหารเพื่อแก้ไขปัญหาบางส่วน โดยคำตัดสินของศาลบ่งชี้ว่า เอเวอร์แกรนด์ มีหนี้สินอยู่ราว 2.39 ล้านล้านหยวน (3.33 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) เป็นต้นเหตุของวิกฤตอสังหาริมทรัพย์จีน และส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจจีน รวมถึงฉุดความเชื่อมั่นของผู้บริโภค คำสั่งยุติกิจการดังกล่าวอาจกระทบต่อระบบการเงินของจีน ขณะที่ผู้กำหนดนโยบายของรัฐบาลจีนพยายามออกมาตรการยับยั้งการร่วงลงของตลาดหุ้น
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ ผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนธ.ค. 2564 ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บริษัทเคยเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ทำยอดขายสูงสุดของจีน และเมื่อปี 2565 บริษัท Top Shine Global Limited of Intershore Consult (Samoa) ซึ่งลงทุนในบริษัทในเครือของเอเวอร์แกรนด์ ได้ยื่นขอให้ศาลเพิกถอนกิจการมาแล้ว โดยระบุว่า เอเวอร์แกรนด์ไม่สามารถปฏิบัติตามข้อตกลงการซื้อหุ้นคืนได้
รายงานข่าว ระบุว่า ลินดา ชาน ผู้พิพากษาศาลสูงฮ่องกง ซึ่งเป็นประธานในการพิจารณาคดีของเอเวอร์แกรนด์ จะดำเนินการพิจารณาคดีและอาจมีการออกคำสั่งทางกฎหมายเพิ่มเติมในเวลา 14.30 น. ของวันนี้ โดยคำสั่งดังกล่าวอาจรวมถึงการดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายเพื่อยุติกิจการ ซึ่งอาจมีการแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีด้วย
อย่างไรก็ดี ผู้ชำระบัญชีอาจเผชิญกับกระบวนการที่ยุ่งยากในการเจรจากับบริษัทอสังหาริมทรัพย์จีน เนื่องจากโครงการของเอเวอร์แกรนด์ส่วนใหญ่ดำเนินงานโดยบริษัทในประเทศ จึงอาจเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ชำระบัญชีในต่างประเทศในการยึดทรัพย์ นอกจากนี้ อาจเป็นไปได้ว่า ในส่วนงานก่อสร้าง การส่งมอบที่อยู่อาศัย และกิจกรรมอื่นๆ ในจีน จะดำเนินต่อไป
ที่มา: บลูมเบิร์ก