ตลาดหุ้นโลกในเดือนกุมภาพันธ์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.1% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังจากผลประกอบการที่ไตรมาส 4 ของบริษัทส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ ที่ออกมาดี นำโดยหุ้นในกลุ่ม Magnificent 7 ที่มีการเติบโตสูงกว่า 56% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และบริษัทที่ได้ประโยชน์จากกระแสการพัฒนาโครงสร้างด้าน AI ยังสามารถทำรายได้สูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์และดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ค่อนข้างมาก จึงเป็นปัจจัยหนุนให้กับตลาดโลกในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่า Valuation จะค่อนข้างตึงตัวก็ตาม
สำหรับภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมา หลังจากการประชุมของ FED ในครั้งล่าสุด ทำให้ตลาดได้คาดการณ์ว่า การเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยน่าจะชะลอออกไป โดยยังต้องจับตาการชะลอตัวลงของตัวเลขเงินเฟ้อที่มากกว่านี้ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของสหรัฐฯ ในเดือนมกราคมตัวเลขออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ อีกทั้ง ภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมมีโมเมนตัมและทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้มีการดีดตัวขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯขึ้นในช่วงสั้นๆ แต่ด้วยพัฒนาการของกำไรในบริษัทจดทะเบียนที่ดีขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นไม่ได้ถูกกระทบจากความคาดหวังการลดอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนไปมากนัก
ในส่วนตลาดหุ้นไทยในเดือนกุมภาพันธ์ แกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบ และยังขาดปัจจัยใหม่ๆ มาขับเคลื่อน โดยจากตัวเลขทางเศรษฐกิจไทยที่ออกมา ไม่ว่าจะเป็น GDP ที่ออกมาในระดับต่ำ เงินเฟ้อไทยที่ยังติดลบอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 4 ส่วนใหญ่ที่ประกาศออกมายังไม่ค่อยเห็นพัฒนาการที่โดดเด่นมากนักในหุ้นส่วนใหญ่ จึงเป็นตัวกดดันต่อ การคาดการณ์ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยในตลาดไทยให้มีโอกาสปรับลดลงต่อ อย่างไรก็ตาม ยังมีกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีผลประกอบการอยู่ในเกณฑ์ดี เช่น กลุ่ม Healthcare กลุ่มท่องเที่ยว เป็นต้น
นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยมีโอกาสจะได้รับปัจจัยบวกมากขึ้นจาก ภาพตลาดหุ้นไทยต่อจากนี้เราคาดว่าจะเห็นโมเมนตัมการฟื้นตัวที่ค่อยๆ ดีขึ้น โดยมีนโยบายต่างๆ มากระตุ้น อาทิ มาตราการขยายฟรีวีซ่า ไทย-จีน กระตุ้นตัวเลขนักท่องเที่ยว การเร่งพิจารณา พรบ.งบประมาณประจำปีเร็วขึ้น โดยจากสถิติแล้ว การเบิกจ่ายจากทางภาครัฐจะส่งผลเชิงบวกให้กับหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และหุ้นกลุ่มอุปโภคและบริโภค รวมทั้งการขยายตัวได้ดีของการอุปโภคบริโภคในไตรมาส 1 ผ่านมาตราการ EASY E- RECEIPT ซึ่งส่งผลให้ไทยมีโอกาสเกิด Technical Recession ได้น้อยลง จึงมองว่าหุ้นไทยต่อจากนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ต่อไป โดยควรให้น้ำหนักการลงทุนเป็นรายอุตสาหกรรมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะอุตสาหกรรม
Fund Comment
Fund Comment กุมภาพันธ์ 2024: ภาพรวมตลาดหุ้น
ตลาดหุ้นโลกในเดือนกุมภาพันธ์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.1% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังจากผลประกอบการที่ไตรมาส 4 ของบริษัทส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ ที่ออกมาดี นำโดยหุ้นในกลุ่ม Magnificent 7 ที่มีการเติบโตสูงกว่า 56% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และบริษัทที่ได้ประโยชน์จากกระแสการพัฒนาโครงสร้างด้าน AI ยังสามารถทำรายได้สูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์และดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ค่อนข้างมาก จึงเป็นปัจจัยหนุนให้กับตลาดโลกในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่า Valuation จะค่อนข้างตึงตัวก็ตาม
สำหรับภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมา หลังจากการประชุมของ FED ในครั้งล่าสุด ทำให้ตลาดได้คาดการณ์ว่า การเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยน่าจะชะลอออกไป โดยยังต้องจับตาการชะลอตัวลงของตัวเลขเงินเฟ้อที่มากกว่านี้ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของสหรัฐฯ ในเดือนมกราคมตัวเลขออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ อีกทั้ง ภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมมีโมเมนตัมและทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลให้มีการดีดตัวขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯขึ้นในช่วงสั้นๆ แต่ด้วยพัฒนาการของกำไรในบริษัทจดทะเบียนที่ดีขึ้น ทำให้ตลาดหุ้นไม่ได้ถูกกระทบจากความคาดหวังการลดอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนไปมากนัก
ในส่วนตลาดหุ้นไทยในเดือนกุมภาพันธ์ แกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบ และยังขาดปัจจัยใหม่ๆ มาขับเคลื่อน โดยจากตัวเลขทางเศรษฐกิจไทยที่ออกมา ไม่ว่าจะเป็น GDP ที่ออกมาในระดับต่ำ เงินเฟ้อไทยที่ยังติดลบอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 4 ส่วนใหญ่ที่ประกาศออกมายังไม่ค่อยเห็นพัฒนาการที่โดดเด่นมากนักในหุ้นส่วนใหญ่ จึงเป็นตัวกดดันต่อ การคาดการณ์ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยในตลาดไทยให้มีโอกาสปรับลดลงต่อ อย่างไรก็ตาม ยังมีกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีผลประกอบการอยู่ในเกณฑ์ดี เช่น กลุ่ม Healthcare กลุ่มท่องเที่ยว เป็นต้น
นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยมีโอกาสจะได้รับปัจจัยบวกมากขึ้นจาก ภาพตลาดหุ้นไทยต่อจากนี้เราคาดว่าจะเห็นโมเมนตัมการฟื้นตัวที่ค่อยๆ ดีขึ้น โดยมีนโยบายต่างๆ มากระตุ้น อาทิ มาตราการขยายฟรีวีซ่า ไทย-จีน กระตุ้นตัวเลขนักท่องเที่ยว การเร่งพิจารณา พรบ.งบประมาณประจำปีเร็วขึ้น โดยจากสถิติแล้ว การเบิกจ่ายจากทางภาครัฐจะส่งผลเชิงบวกให้กับหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และหุ้นกลุ่มอุปโภคและบริโภค รวมทั้งการขยายตัวได้ดีของการอุปโภคบริโภคในไตรมาส 1 ผ่านมาตราการ EASY E- RECEIPT ซึ่งส่งผลให้ไทยมีโอกาสเกิด Technical Recession ได้น้อยลง จึงมองว่าหุ้นไทยต่อจากนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ต่อไป โดยควรให้น้ำหนักการลงทุนเป็นรายอุตสาหกรรมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะอุตสาหกรรม