ผลสำรวจชี้ธ.กลางทั่วโลกเมินเงินหยวน เดินหน้าลงทุนในดอลลาร์-ทองคำ

ผลสำรวจชี้ธ.กลางทั่วโลกเมินเงินหยวน เดินหน้าลงทุนในดอลลาร์-ทองคำ

ผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์ ซึ่งจัดทำโดยสถาบัน Official Monetary and Financial Institutions Forum (OMFIF) ระบุว่า มีธนาคารกลางทั่วโลกจำนวนมากขึ้นที่วางแผนจะเพิ่มการลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐซึ่งให้ผลตอบแทนสูง ขณะเดียวกันก็ลดความสนใจที่จะลงทุนในสกุลเงินหยวนของจีน เนื่องจากให้ผลตอบแทนต่ำและมีความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์

สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า ผลสำรวจซึ่งมีการเผยแพร่ในวันนี้ (4 มิ.ย.) ถือเป็นข้อมูลที่ท้าทายกระแสการลดความนิยมการใช้สกุลเงินดอลลาร์ หลังจากหลายประเทศได้ส่งสัญญาณว่า กระจายการลงทุนที่นอกเหนือไปจากสกุลเงินดอลลาร์

ผลสำรวจบ่งชี้ว่า 18% ของผู้จัดการที่ดูแลทุนสำรองของธนาคารกลางทั่วโลกระบุว่า พวกเขามีความตั้งใจที่จะเพิ่มการลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์ในอีก 12-24 เดือนข้างหน้านี้ มากกว่าที่จะลงทุนในสกุลเงินอื่นๆ พร้อมระบุว่า ดอลลาร์ยังคงมีบทบาทสำคัญในการค้าโลก และคาดการณ์ว่า ดอลลาร์จะยังคงให้ผลตอบแทนค่อนข้างสูง

อย่างไรก็ดี ผู้จัดการที่ดูแลทุนสำรองของธนาคารกลางเหล่านี้ ได้ลดความต้องการในการถือครองสกุลเงินหยวนของจีน โดย 12% ของผู้จัดการที่ดูแลทุนสำรองของธนาคารกลางทั่วโลกจำนวน 73 แห่งที่ได้รับการสำรวจโดย OMFIF มีแผนที่จะลดการถือครองสกุลเงินหยวนลงในอีก 12-24 เดือนข้างหน้า

นิคฮิล ซานกานี กรรมการผู้จัดการ สถาบันนโยบายเศรษฐกิจและการเงินของ OMFIF กล่าวว่า “ผู้จัดการที่ดูแลทุนสำรองของธนาคารกลางหลายแห่งได้กล่าวถึงประเด็นความโปร่งใสในตลาดและสถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์เป็นเหตุผลของการลดการถือครองสกุลเงินหยวน และยังระบุด้วยว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของจีนอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจีนอายุ 10 ปีอยู่ที่ระดับ 2.3% เมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ที่ระดับ 4.5%”

นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบว่า ธนาคารกลางหลายแห่งวางแผนที่จะเดินหน้าเพื่อเพิ่มการลงทุนในทองคำ ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวได้ช่วยหนุนราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้

ทั้งนี้ ผลสำรวจระบุว่า 15% ของธนาคารกลางคาดการณ์ว่าจะเพิ่มการลงทุนในทองคำในปีนี้ ซึ่งหากผลการสำรวจของ OMFIF มีความแม่นยำ ก็หมายความว่าทองคำในระบบทุนสำรองของธนาคารทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอีก 6 แสนล้านดอลลาร์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้

ที่มา: รอยเตอร์