บลูมเบิร์กเผยต่างชาติเมินลงทุน “พันธบัตรไทย” เหตุวิตกความเสี่ยงทางการเมือง การไหลเข้าเดือนพฤษภาคมต่ำที่สุดในภูมิภาค
วันที่ 6 มิถุนายน 2567 สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า ความเสี่ยงทางการเมืองในประเทศไทยกำลังทำให้นักลงทุนต่างชาติระมัดระวังเกี่ยวกับการลงทุนในพันธบัตรของไทย แม้ว่านักลงทุนกลับเข้าสู่ตลาดในเดือนพฤษภาคมเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือนก็ตาม
กองทุนต่างประเทศซื้อพันธบัตรไทยมูลค่า 511 ล้านดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม 2567 แต่ตัวเลขดังกล่าวยังต่ำกว่าการซื้อพันธบัตรในอินโดนีเซีย อินเดีย และเกาหลีใต้ ดัชนีชี้วัดการทำโพสิชันของนักลงทุนต่างชาติเมื่อเทียบกับแนวโน้มในอดีตที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยอยู่ในอันดับท้ายสุดของภูมิภาค
ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทยและรัฐบาลไทยกำลังเพิ่มความเสี่ยงในตลาดต่างๆ ตลอดจนคดีทางกฎหมายที่สั่นคลอนสถานะของนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน และความกังวลเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินจำนวนมากของรัฐบาล ได้ส่งผลกระทบให้กับพันธบัตรไทยและค่าเงินบาทแล้ว
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า “ความไม่แน่นอนทางการเมืองในระยะสั้นนี้เพิ่มความผันผวนให้กับตลาด ซึ่งอาจส่งผลกระทบนักลงทุนต่างชาติซื้อสินทรัพย์ไทย แม้ว่าหุ้นและพันธบัตรบางส่วนจะอยู่ในระดับที่น่าสนใจอยู่แล้ว”
ขณะที่การคาดการณ์ครั้งใหม่เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐในปีนี้ ตามข้อมูลของสหรัฐที่อ่อนแอกว่าที่คาด กระตุ้นให้พันธบัตรและสกุลเงินในเอเชียเกิดใหม่เพิ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคม อย่างไรก็ตามพันธบัตรไทยได้รับประโยชน์เพียงเล็กน้อยจากการปรับตัวขึ้นทั่วโลก เนื่องจากอัตราผลตอบแทนอ้างอิงเพิ่มขึ้น 0.06% ในช่วงเดือนดังกล่าว ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 2.81% ใกล้ระดับสูงสุดในปีนี้
สำหรับการทำโพสิชันของนักลงทุนต่างชาติในสกุลเงินบาทของไทยนั้นยังคงเบาบาง เนื่องจากมีการไหลออกในปีที่ผ่านมา ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation – SD) อยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีอยู่ 1.1 ด้านอินโดนีเซีย อินเดีย และเกาหลีใต้นั้นสูงขึ้น ซึ่งส่งสัญญาณถึงจุดยืนต่างประเทศที่หนักขึ้นในพันธบัตรภายในประเทศ
ทั้งนี้ความตึงเครียดทางการเมืองกำลังก่อตัวขึ้นในประเทศไทย เมื่อศาลรัฐธรรมนูญยอมรับคำร้องของกลุ่มวุฒิสมาชิกที่ต้องการถอดถอนนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนพฤษภาคม ขณะที่แหล่งข่าวระบุว่ารัฐบาลไทยกำลังหารือกันถึงแนวทางที่จะใช้การควบคุมธนาคารกลางของประเทศให้มากขึ้น ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของหน่วยงานการเงิน
Tamara Henderson นักเศรษฐศาสตร์จาก Bloomberg Economics ระบุว่า “ธนาคารกลางที่มีความเป็นอิสระน้อยกว่าอาจเป็นฟางเส้นสุดท้าย” สำหรับนักลงทุนที่กังวลเกี่ยวกับการแทรกแซงทางการเมืองในนโยบายการเงิน และอาจนำไปสู่การไหลออกของเงินทุนเพิ่มขึ้น
Danny Suwanapruti และ Andrew Tilton นักกลยุทธ์ของ Goldman Sachs Group Inc. กล่าวว่า มีมุมมองเชิงลบเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยและสกุลเงินบาทของไทย เนื่องจากเห็นว่าการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการทางการเงินเพิ่มขึ้นในปีนี้และปีต่อๆ ไป นอกจากนี้ยังคาดหวังว่าความแตกต่างอัตราดอกเบี้ยไทย-สหรัฐ และปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่จะส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาท
ที่มา: บลูมเบิร์ก