ความน่าสนใจของหุ้นกลุ่ม Global Technology จาก Fidelity Global Technology Fund
“ในอนาคตอันใกล้ มนุษย์จะข้องเกี่ยวกับเทคโนโลยีในชีวิตประจำวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตั้งแต่ตื่นจนเข้านอน เมื่อตื่นนอนก็มี Internet of Things ช่วยชงกาแฟ หุงขาว ทำอาหาร และเครื่องดื่มยามเช้า ออกจากบ้านมีแท็กซี่ Grab ที่ใช้ EV (Electric Vehicle) ถึงที่ทำงานก็มี Cloud Computing ประเภท SaaS (Software as a Service) ช่วยจัดการระบการทำงาน พักเที่ยงเพิ่มความสะดวกสบายด้วยการสั่งอาหารออนไลน์ผ่าน Deliveroo โอนเงินให้แม่ผ่าน Mobile banking เลือกซื้อสินค้าผ่านทาง online channel กลับถึงบ้านต้องการเลือกอ่านหนังสือก็ท่องอินเทอร์เน็ตโดยมี Big Data คอยช่วยให้คำแนะนำ รูปถ่ายเซลฟี่ที่มีทั้งหมดก็นำไปเก็บไว้บน Cloud”
ปัจจัยบวกและลบต่อหุ้นในกลุ่มโกลบอลเทคโนโลยีในระยะถัดไป
(+) เรากำลังเริ่มเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (Industrial Revolution 4.0) ซึ่งเป็นยุคที่ประยุกต์การเชื่อมต่อระหว่างหุ่นยนต์ Robotic กับอินเทอร์เน็ต อันจะทำให้ความต้องการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) Internet of Things และ Connected Machine เติบโต Sub-Sector ของกลุ่มเทคโนโลยีที่จะได้รับประโยชน์ ได้แก่ ธุรกิจที่ทำ Software Hardware และ Semiconductor
(+) การเข้าสู่ระยะแรกของการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) หัวใจหลักของรถประเภทนี้คือต้องการเซมิคอนดักเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ จึงมีบทบาทมากต่อการพัฒนายานยนต์ประเภทนี้
(+) ยอดขาย ความสามารถในการทำกำไร ผลตอบแทนส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ของบริษัทในกลุ่มนี้สูงกว่าหุ้นกลุ่มอื่นทั่วโลกเมื่อเทียบกับ MSCI AC World Index
(+) ราคาหุ้นสมเหตุสมผล โดยระดับ Valuation ของหุ้นในกลุ่มนี้ซื้อขายเพียง 12 Months FW PE 17.4 x เท่า ใกล้เคียงกับช่วงต้นปี 2017 เนื่องจากกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) เติบโตสูงระดับ 30% ต่อปี หุ้นจึงอยู่ระดับที่เหมาะสม และยังต่ำากว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวจากช่วงวิกฤติฟองสบู่ Dotcom ค่อนข้างมาก ประกอบกับบริษัทเหล่านี้มีงบการเงินที่แข็งแกร่งกว่าในอดีต มีผลประกอบการที่ดี พร้อมทั้งมีนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบของธุรกิจในกลุ่มอื่นๆ ได้ จึงเป็นปัจจัยส่งผลให้หุ้นในกลุ่มนี้ยังมีความน่าสนใจในการลงทุนระยะยาว
Conference call with Fidelity Global Technology Fund
ถาม: ธีมด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีอะไรบ้าง ที่ Fidelity Global Technology มีสัดส่วนลงทุน ณ ปัจจุบัน
ตอบ: ปัจจุบัน ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีทั่วโลกจำนวน 59 บริษัท หากจำแนกตามธีมลงทุน พบมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Big Data 22% Cloud Computing 21% Digital Advertising 14% E-Commerce 12% Artificial Intelligence 10% Internet of Things (IoT) 7% Industry 4.0 ที่ 6% Autonomous Vehicle 5% และ Virtual Reality 3% กองทุนหลักจะปรับการลงทุนอย่างเหมาะสมเพื่อเน้นเฟ้นหาบริษัทที่จะเป็นผู้ชนะในตลาดหรือที่เรียกว่า “Winners of Tomorrow”
ถาม: ปัจจุบันกองทุนหลัก Overweight หุ้น Sub-Sectors กลุ่มไหน เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
ตอบ: กองทุนยังมีการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Software และ Internet Company เนื่องจากมองว่าการพัฒนาทางด้าน Software ใหม่ การพัฒนาทางด้าน Artificial Intelligence ที่มีออกมา ยังคงมีศักยภาพในการเติบโตที่สูง จากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากสามารถที่จะนำไปปรับใช้กับการดำเนินงานของบริษัทและสามารถช่วยลดต้นทุนของบริษัทลง กระแสของการเติบโตทางด้านเทคโนโลยีส่งผลบวกต่อบริษัทผู้ผลิต Software ต่างๆ ให้สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
Overweight หุ้น Sub-Sectors ในกลุ่ม
1.Semiconductor & Semi Equipment เช่น Nvidia, Itel, Xilinx (integrated circuits), Lam, Micron
2.Internet Retail เช่น Trip, JD.com, Rakuten (e-commerce in Japan)
3.Internet Software & Services เช่น – Google, Baidu, Criteo, Grubhub, Linkedin, Twitter
Underweight หุ้น Sub-Sectors ในกลุ่ม
4.IT Services เช่น Visa, Mastercard, Accenture เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีแบบดั้งเดิม มีอัตราการเติบโตช้า
5.หุ้นเทคขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ กองทุนหลักชอบหุ้นขนาดกลาง
การที่กองทุนหลัก Overweight หุ้นข้างต้น เนื่องจากบริษัทกลุ่มนี้เติบโตสูงและมีรายได้ที่คาดการณ์ว่าจะได้รับแน่นอน (Recurring Revenue) ในสัดส่วนที่สูง และมีฐานลูกค้าที่ใช้ผลิตภัณฑ์และบริการไม่เปลี่ยนแปลงขึ้นลง ทำให้ราคากองทุนไม่เหวี่ยงขึ้นลง ทนต่อปัจจัยภายนอกได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวน
สรุปผลการดำเนินงานกองทุนหลัก Fidelity Global Technology Fund
ผลตอบแทนกองทุนหลักในเดือน เม.ย. 2018 ที่ -0.8 ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน +1.5% เหตุจากหุ้นที่ลงทุนในกลุ่ม Software and Service และ Retail ลดลงและกองทุน Underweight Facebook และ Visa หุ้นที่ถือครองในกลุ่มเทคโนโลยีเคมีและพลาสติกสัญชาติญี่ปุ่น ที่ชื่อว่า JSR Corporation ซึ่งกองทุนหลักถือครองสัดส่วน 1.7% ทำกำไรในไตรมาส 4/2017 ได้ต่ำกว่าคาด แม้ธุรกิจของบริษัทในแขนงเซมิคอนดักเตอร์จะออกมาดี ค่าเงินเยนที่อ่อนและ Fixed Cost ของบริษัทเพิ่มขึ้นทำให้รายได้ออกมาไม่ดี แต่บริษัทยังน่าสนใจเนื่องจากมี Valuation ที่ถูก และอนาคตทางด้านวัสดุเซมิคอนดักเตอร์ยังเติบโตได้ไกล ในส่วนของบริษัท Qualcomm หุ้น Top-Holdings ที่กองทุนหลักมีสัดส่วนลงทุน 3.6% สร้างผลตอบแทนดีขึ้นมาบ้างหลังราคาลดลงในช่วงก่อนหน้า เนื่องจากกำไรออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาด แต่มุมมองต่อการควบรวมกิจการกับ NXP Semiconductors ยังไม่บรรลุผลสำเร็จ ในส่วนของหุ้นที่กองทุนหลักถือครองในธุรกิจท่องเที่ยวออนไลน์ อาทิ Ctrip.com ผลประกอบการออกมาต่ำกว่าคาด อย่างไรก็ตามบริษัทมีมุมมองในอนาคตสดใสจากการขยายตัวด้านการท่องเที่ยวไปยังต่างแดนของคนจีน
ในส่วนของบริษัทที่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับ พบว่า การที่กองทุนให้น้ำหนักน้อย Underweight ใน Tencent และ Apple ช่วยให้ผลตอบแทน Relative ออกมาดี ขณะที่หุ้น SAP ซึ่งเป็นบริษัทผลิตซอร์ฟแวร์ที่ใช้ในองค์กรผลประกอบการประเภทกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสแรกออกมาดีจากธุรกิจ Cloud Business
กองทุนหลัก (Master Fund)
ชื่อ: Fidelity Funds – Global Technology Fund ชนิดหน่วยลงทุน Class Y-ACC-USD
นโยบายการลงทุน: เป็นกองทุนรวมต่างประเทศที่มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนของบริษัททั่วโลก ที่มีการพัฒนาด้านผลิตภัณฑ์กระบวนการหรือบริการ อันจะนำมาซึ่งประโยชน์อย่างสูงจากความก้าวหน้าและการพัฒนาทางเทคโนโลยี
วันที่จดทะเบียน: 23 กุมภาพันธ์ 2017 (Share class Y-ACC-USD)
ประเทศที่จดทะเบียน: ลักเซมเบิร์ก
สกุลเงิน: USD
เกณฑ์วัดผลการดำเนินงาน (Benchmark): MSCI AC World Information Technology (N)
Morningstar Category: Large cap core growth
Bloomberg code: FFGTYAU LX
Fund size: 3,005 Million USD
Number of holdings: 59
*ที่มา Fidelity International ข้อมูลเดือน เมษายน 2018