“สิงคโปร์” ยังคงครองแชมป์ “เมืองที่แพงที่สุดในโลก” สำหรับการใช้จ่ายสินค้าลักชัวรี เนื่องจากยังคงดึงดูดมหาเศรษฐีระดับ Ultrawealthy ได้ ทั้งยังมีความมั่นคงทางการเมืองและเศรษฐกิจ
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก อ้างอิงรายงานจากจูเลียส แบร์ กรุ๊ป (Julius Baer Group Ltd) กลุ่มธุรกิจบริการไพรเวทแบงก์กิ้งชั้นนำจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันอังคาร (25 มิ.ย.) เผยว่า “สิงคโปร์” ยังคงครองแชมป์ “เมืองที่แพงที่สุดในโลก” สำหรับการใช้จ่ายสินค้าลักชัวรี เช่น เครื่องประดับ เพชรพลอยและรองเท้า รวมถึงการบริการต่างๆ ทั้งดินเนอร์หรู บริการด้านสุขภาพ และการศึกษา เนื่องจากเมืองยังคงสามารถดึงดูดมหาเศรษฐีระดับ Ultrawealthy ได้ เพราะการเมืองและเศรษฐกิจของสิงคโปร์มีเสถียรภาพ และมีสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการทำธุรกิจ
ขณะที่ เมืองคู่แข่ง อย่างฮ่องกง ครองอันดับที่ 2 ในปีนี้ ร่วงลงมา 1 อันดับจากปีก่อน โดยฮ่องกงถือเป็นเมืองที่แพงที่สุดในแง่ของการว่าจ้างทนายความ และเป็นเมืองอันดับที่ 2 ที่อสังหาริมทรัพย์แพงที่สุด
ส่วนกรุงลอนดอน เมืองหลวงของอังกฤษครองอันดับที่ 3 ซึ่งได้รับอานิสงส์จากเงินปอนด์แข็งค่าขึ้น และสถานการณ์เศรษฐกิจกลับมาเป็นปกติหลังเบร็กซิต (Brexit)
สำหรับเซี่ยงไฮ้ในปีนี้ ไม่ติดท็อป 3 แต่ร่วงลงมาอยู่อันดับที่ 4 เนื่องจากความท้าทายมากมายในตลาดอสังหาฯ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง
## 15 เมืองที่แพงที่สุดสำหรับการใช้จ่ายสินค้าลักชัวรี ประจำปี 2567
1.สิงคโปร์
2.ฮ่องกง
3.ลอนดอน
4.เซี่ยงไฮ้
5.โมนาโก
6.ซูริค
7.นิวยอร์ก
8.ปารีส
9.เซาเปาโล
10.มิลาน
11.ซิดนีย์
12.ดูไบ
13.ไทเป
14.จาการ์ตา
15.ไมอามี
การจัดอันดับเมืองที่แพงที่สุดในโลกของจูเลียส แบร์ วิเคราะห์จากราคาอสังหาฯ รถยนต์ เที่ยวบินชั้นธุรกิจ โรงงาน เมนูอาหารสำหรับดินเนอร์ และสินค้าลักชัวรีอื่นๆ ทั้งยังสำรวจบุคคลที่มีความมั่งคั่งสูง ซึ่งมีสินทรัพย์ในธนาคาร 1 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป (ราว 37 ล้านบาทขึ้นไป) ตั้งแต่เดือน ก.พ. – มี.ค. 2567
รายงานดังกล่าว ระบุด้วยว่า การเปลี่ยนแปลงมากมายในดัชนีของรายงาน เกิดมาจากความผันผวนของค่าเงิน เนื่องจากดัชนีราคาของประเทศนั้นๆ ต้องแปลงเป็นเงินดอลลาร์เพื่อเปรียบเทียบให้ทัดเทียมกัน และจากการแปลงค่าเงินเป็นดอลลาร์จึงทำให้กรุงซันติอาโกในประเทศชิลี กลายเป็นเมืองที่ค่าครองชีพแพงกว่ากรุงโตเกียว ที่ปีนี้ตกไปอยู่อันดับที่ 23 เนื่องจากเงินเยนอ่อนค่า
ที่มา: บลูมเบิร์ก