- Berkshire Hathaway สร้างอาณาจักรธุรกิจที่แข็งแกร่งได้ จาก “เศรษฐกิจแบบเก่า” ให้ผลตอบแทนยั่งยืนทนทุกสภาวะ
- มูลค่าตลาดของ Berkshire เพิ่มขึ้นประมาณ 20% ต่อปีตั้งแต่ปี 2508 จนถึงปีที่แล้ว
- คาดหุ้น A ของ Berkshire จะสูงขึ้นเกือบ 9% สู่ราคาเป้าหมายเป็น 759,000 ดอลลาร์
สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า “บริษัท เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์”(Berkshire Hathaway) ของ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” (Warren Buffett) กลายเป็นบริษัทสหรัฐฯ แห่งแรกที่ไม่ใช่บริษัทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่มีมูลค่าตลาดเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อกลุ่มบริษัทที่บัตเฟตต์สร้างขึ้นกว่า 6 ทศวรรษ จนกลายมาเป็นตัวแทนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
หุ้นคลาส A ของ Berkshire Hathaway เพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 1.14% และปิดตลาดที่ 0.7% ส่งผลให้หุ้นของเบิร์กเชียร์เคลื่อนไหวที่ 696,502.02 ดอลลาร์ หรือราวหุ้นละ 23 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ หุ้นคลาส B เพิ่มขึ้น 0.9% ปิดที่ 464.59 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นการสร้างสถิติใหม่ดังกล่าวของบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์มีขึ้นเพียง 2 วัน ก่อนที่บัฟเฟตต์จะมีอายุครบรอบ 94 ปี
สิ่งที่น่าสนใจ คือ มูลค่าตลาดของ Berkshire เพิ่มขึ้นประมาณ 20% ต่อปี ตั้งแต่ปี 2508 จนถึงปีที่แล้ว ส่วนการเติบโตของ Berkshire ในปีนี้ดีที่สุดในรอบ 10 ปี โดยบริษัทเติบโตขึ้น 30% แซงหน้าดัชนี S&P 500 ที่เติบโต 18% และเกือบตามหุ้นกลุ่ม 7 นางฟ้า หรือ Magnificent Seven ที่เพิ่มขึ้น 35%
จากบริษัทสิ่งทอสู่อาณาจักร ’ธุรกิจ’
บัฟเฟตต์ ผู้เป็นตำนานแห่งวงการลงทุน ได้เข้ามาซื้อหุ้นในบริษัท Berkshire Hathaway ซึ่งในขณะนั้นเป็นเพียงบริษัทสิ่งทอขนาดเล็กที่กำลังประสบปัญหาในช่วงทศวรรษที่ 2503 และค่อยๆ เปลี่ยนแปลงบริษัทให้กลายเป็นหนึ่งในบริษัทลงทุนที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดในโลก ซึ่งครอบคลุมถึงการประกันภัย รถไฟ การค้าปลีก การผลิต และพลังงาน พร้อมด้วยงบดุลและเงินสดที่แข็งแกร่งจนไม่มีใครอาจเทียบได้
แคธี่ ซีเฟิร์ต นักวิเคราะห์จาก CFRA Research ชื่นชมความแข็งแกร่งของ Berkshire Hathaway เหตุการณ์สำคัญครั้งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งทางการเงินและมูลค่าแฟรนไชส์ของบริษัท ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญในช่วงเวลาที่ Berkshire ถือเป็นกลุ่มบริษัทในเครือไม่กี่แห่งที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน
แอนดรูว์ คลีเกอร์แมน นักวิเคราะห์ Berkshire ของ TD Cowen มองว่า บัฟเฟตต์และทีมผู้บริหารของ Berkshire Hathaway ที่สามารถสร้างอาณาจักรธุรกิจที่แข็งแกร่งได้จากธุรกิจดั้งเดิม หรือที่เรียกว่า “เศรษฐกิจแบบเก่า” ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้ Berkshire เติบโตมาจนถึงทุกวันนี้
คลีเกอร์แมน กล่าวว่า แม้ว่าธุรกิจดั้งเดิมของ Berkshire เช่น การประกันภัย รถไฟ และการค้าปลีก จะมีมูลค่าการซื้อขายที่ต่ำกว่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ แต่ก็เป็นธุรกิจที่สร้างผลกำไรที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับบริษัท ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของ Berkshire
แนวโน้มกำไรแข็งแกร่ง
แมทธิว ปาลาโซลา นักวิเคราะห์จาก Bloomberg Intelligence ระบุว่า แนวโน้มในระยะยาวของธุรกิจหลักของ Berkshire Hathaway อาจไม่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่บริษัทนี้มีพอร์ตโฟลิโอการลงทุนที่ออกแบบมาเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ผันผวนได้ดี
ไบรอัน เมอริดิธ นักวิเคราะห์ของ UBS ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรของ Berkshire ในปี 2024 และ 2025 ขึ้น หลังจากผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ที่แข็งแกร่ง โดยมองว่า การตัดสินใจลงทุนที่ชาญฉลาดของ Warren Buffett ทำให้ Berkshire ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และผลการดำเนินงานของธุรกิจประกันภัยที่แข็งแกร่งโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Geico ซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยยานยนต์รายใหญ่ของ Berkshire สามารถปรับขึ้นราคาเบี้ยประกันภัยได้อย่างต่อเนื่อง หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลายลง
เมอริดิธ คาดการณ์ว่า มูลค่าตลาดของบริษัทจะทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์ในไม่ช้า และได้ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาหุ้น A ในช่วง 12 เดือน ขึ้นเป็น 759,000 ดอลลาร์ ซึ่งสูงขึ้นเกือบ 9% จากราคาปิดล่าสุด
‘บัฟเฟตต์’ ปรับพอร์ตการลงทุน
ล่าสุด Warren Buffett ได้ตัดสินใจปรับกลยุทธ์การลงทุน โดยขายหุ้นจำนวนมากออกไป ซึ่งรวมถึงการลดสัดส่วนการถือครองหุ้น Apple ลงเกือบครึ่งหนึ่ง ส่งผลให้ Berkshire Hathaway มีเงินสดสำรองสูงถึง 2.7 แสนล้านดอลลาร์ ณ สิ้นเดือนมิ.ย. ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
แม้ว่า Warren Buffett จะเป็นที่รู้จักในฐานะนักลงทุนระยะยาวที่ไม่ค่อยสนใจการเคลื่อนไหวระยะสั้นของตลาด แต่การตัดสินใจเพิ่มสัดส่วนการถือครองตั๋วเงินคลังจำนวนมหาศาล มีมูลค่ากว่า 2.3 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าจำนวนเงินที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ถือครองอยู่ ยังได้ตัดสินใจขายหุ้น Bank of America จำนวนมากในช่วงกลางเดือนก.ค. เป็นมูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นสัญญาณที่น่าจับตามอง
นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า การกระทำนี้บ่งชี้ว่า Buffett อาจกำลังระมัดระวังต่อความเสี่ยงในตลาด และอาจมองเห็นสัญญาณบางอย่างที่บ่งบอกถึงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ
ที่มา: รอยเตอร์, กรุงเทพธุรกิจ