ตลาดหุ้นโลกในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเผชิญความผันผวนระหว่างเดือน หลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ อย่าง ISM Manufacturing และตัวเลขการจ้างงานที่ออกมาอ่อนแอต่อเนื่องหลายเดือนและต่ำกว่าตลาดคาด เป็นตัวจุดฉนวนให้ตลาดเกิดความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ว่า มีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ ซึ่งทำให้หุ้นสหรัฐฯ และหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างแรงภายในเวลาสั้นๆ ทำให้เกิดเหตุการณ์ Black Monday ขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคม ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นมาได้แรง หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมา หลังจากนั้นมีทิศทางบวกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ตัวเลขเงินเฟ้อที่ลดลง ตัวเลขค้าปลีกที่แข็งแกร่ง เป็นต้น โดยรวมแล้วตลาดมองว่า FED มีโอกาสลดดอกเบี้ยลงได้ถึง 3 ครั้งของการประชุมที่เหลือของปีนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่า FED ยังมีมุมมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาหลังจากนั้น โดยเฉพาะของหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ Infrastructure ด้าน AI ซึ่งตลาดคาดหวังไว้สูง กลับสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน ทำให้เกิดแรงขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมาอีกครั้งในช่วงปลายเดือน ทั้งนี้ เราเชื่อว่า ความผันผวนระดับสูงของตลาดหุ้นต่างประเทศอาจจะยังเกิดขึ้นต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งขึ้นอยู่กับตัวเลขเศรษฐกิจที่จะประกาศออกมาในอนาคต
สำหรับตลาดหุ้นไทยในเดือนสิงหาคมเกิดความผันผวนระหว่างเดือน แต่ยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าตลาดโลก โดยมาจากปัจจัยภายในที่สำคัญ อย่างประเด็นทางการเมืองที่ดูมีเสถียรภาพมากขึ้น เกิดความคลี่คลายลงได้ หลังจากการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี จากคุณเศรษฐา ทวีสิน เป็นคุณแพทองธาร ชินวัตร ประกอบกับการออกมาแสดงวิสัยทัศน์ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน มีส่วนในการช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่อทิศทางในการเดินหน้าของประเทศและการลงทุนของภาครัฐ ทำให้กระแสเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเชิงบวกที่เพิ่มเข้ามา ได้แก่ การจัดตั้งมาของกองทุนวายุภักษ์ที่คาดว่าจะเปิดขายหน่วยลงทุนในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งคาดว่าจะทำให้มีเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ตลาดหุ้นไทยสูงถึง 1.5 แสนล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากหุ้นไทยได้ปรับลดลงมากในช่วงหลายเดือนก่อนหน้านี้ จน Valuation ลงมาอยู่ที่ต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ย เมื่อได้รับปัจจัยบวกต่างๆ ที่กล่าวมา ซึ่งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในระยะสั้น ก็น่าจะช่วยให้การฟื้นตัวของตลาดอาจจะมีความต่อเนื่องได้อีกระยะหนึ่ง แต่หลังจากนี้ ตลาดคงจะติดตามความคืบหน้าของนโยบายต่างๆ ที่จะออกมาภายใต้รัฐบาลชุดใหม่ ว่า จะส่งผลต่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนได้มากน้อยเพียงใด
Fund Comment
Fund Comment สิงหาคม 2024: ภาพรวมตลาดหุ้น
ตลาดหุ้นโลกในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเผชิญความผันผวนระหว่างเดือน หลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ อย่าง ISM Manufacturing และตัวเลขการจ้างงานที่ออกมาอ่อนแอต่อเนื่องหลายเดือนและต่ำกว่าตลาดคาด เป็นตัวจุดฉนวนให้ตลาดเกิดความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ว่า มีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ ซึ่งทำให้หุ้นสหรัฐฯ และหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างแรงภายในเวลาสั้นๆ ทำให้เกิดเหตุการณ์ Black Monday ขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคม ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นมาได้แรง หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมา หลังจากนั้นมีทิศทางบวกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ตัวเลขเงินเฟ้อที่ลดลง ตัวเลขค้าปลีกที่แข็งแกร่ง เป็นต้น โดยรวมแล้วตลาดมองว่า FED มีโอกาสลดดอกเบี้ยลงได้ถึง 3 ครั้งของการประชุมที่เหลือของปีนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่า FED ยังมีมุมมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาหลังจากนั้น โดยเฉพาะของหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ Infrastructure ด้าน AI ซึ่งตลาดคาดหวังไว้สูง กลับสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน ทำให้เกิดแรงขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมาอีกครั้งในช่วงปลายเดือน ทั้งนี้ เราเชื่อว่า ความผันผวนระดับสูงของตลาดหุ้นต่างประเทศอาจจะยังเกิดขึ้นต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งขึ้นอยู่กับตัวเลขเศรษฐกิจที่จะประกาศออกมาในอนาคต
สำหรับตลาดหุ้นไทยในเดือนสิงหาคมเกิดความผันผวนระหว่างเดือน แต่ยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าตลาดโลก โดยมาจากปัจจัยภายในที่สำคัญ อย่างประเด็นทางการเมืองที่ดูมีเสถียรภาพมากขึ้น เกิดความคลี่คลายลงได้ หลังจากการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี จากคุณเศรษฐา ทวีสิน เป็นคุณแพทองธาร ชินวัตร ประกอบกับการออกมาแสดงวิสัยทัศน์ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน มีส่วนในการช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่อทิศทางในการเดินหน้าของประเทศและการลงทุนของภาครัฐ ทำให้กระแสเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเชิงบวกที่เพิ่มเข้ามา ได้แก่ การจัดตั้งมาของกองทุนวายุภักษ์ที่คาดว่าจะเปิดขายหน่วยลงทุนในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งคาดว่าจะทำให้มีเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ตลาดหุ้นไทยสูงถึง 1.5 แสนล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากหุ้นไทยได้ปรับลดลงมากในช่วงหลายเดือนก่อนหน้านี้ จน Valuation ลงมาอยู่ที่ต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ย เมื่อได้รับปัจจัยบวกต่างๆ ที่กล่าวมา ซึ่งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในระยะสั้น ก็น่าจะช่วยให้การฟื้นตัวของตลาดอาจจะมีความต่อเนื่องได้อีกระยะหนึ่ง แต่หลังจากนี้ ตลาดคงจะติดตามความคืบหน้าของนโยบายต่างๆ ที่จะออกมาภายใต้รัฐบาลชุดใหม่ ว่า จะส่งผลต่อพัฒนาการทางเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนได้มากน้อยเพียงใด