ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในสหรัฐฯ พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 6 เดือนในเดือนตุลาคม เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงช่วยหนุนสภาวะทางการเงินในการซื้อสินค้าราคาแพง อย่างเช่น รถยนต์ แต่การเพิ่มขึ้นนี้เห็นได้ชัดเจนที่สุดในกลุ่มผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันที่มั่นใจมากขึ้นว่าพรรคของตนจะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พ.ย.นี้
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยมิชิแกนพุ่งขึ้นแตะ 70.5 ในเดือน ต.ค. นี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย. จากตัวเลขล่าสุดที่ 70.1 ในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา โดยผลการสำรวจนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยมัธยฐานของนักเศรษฐศาสตร์ที่สำรวจโดยรอยเตอร์ซึ่งอยู่ที่ 69.0 และยังเพิ่มขึ้นจากตัวเลขเบื้องต้นที่ 68.9 เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดของรายงานดังกล่าว ชี้ให้เห็นถึงความโน้มเอียงทางการเมืองอย่างกว้างขวาง เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในเดือน ต.ค. ผู้บริโภคที่ระบุตนเองว่าเป็นรีพับลิกันและผู้ที่เลือกผู้สมัครอิสระที่ไม่สังกัดพรรคซึ่งมีสัดส่วนที่น้อย ซึ่งได้เป็นผู้นำในการปรับเพิ่มขึ้นของความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมของดัชนี ขณะที่ความเชื่อมั่นในกลุ่มที่ระบุตนเองว่าเป็นเดโมแครตนั้นลดลง
ผู้อำนวยการการสำรวจ Joanne Hsu กล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (25 ต.ค.) ว่า “การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อความคาดหวังของผู้บริโภค”
ความรู้สึกในกลุ่มสนับสนุนรีพับลิกันเพิ่มขึ้น 7.8% ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ. และในกลุ่มสนับสนุนผู้ที่ไม่สังกัดพรรคเพิ่มขึ้น 4.1% ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค. ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกของผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ก.ค. โดยลดลง 1.3%
Hsu กล่าวว่า กลุ่มหนุนพรรครีพับลิกันมั่นใจมากขึ้นว่าผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อของพวกเขา อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเอาชนะรองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส ผู้ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคเดโมแครต ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในอีกไม่ถึงสองสัปดาห์ข้างหน้านี้ การสำรวจชี้ให้เห็นว่า การแข่งขันได้ลดลงเหลือเพียงโอกาสที่เป็นไปได้เท่าๆ กัน และ Hsu กล่าวว่า ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่าสัดส่วนของผู้บริโภคที่คาดว่าแฮร์ริสจะชนะนั้นลดลงเหลือเพียง 57% จาก 63% ในเดือน ก.ย.
มุมมองของครัวเรือนต่อแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อได้เปลี่ยนมาเป็นแบบคงที่ ซึ่งพัฒนาการนี้จะเป็นที่ยินดีหรือพอใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เนื่องจากเฟดได้บรรลุผลสำเร็จจากการปรับนโยบายหลักจากการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยสูง ซึ่งเฟดเคยใช้เพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่สูงในช่วงหลายปีโดยทันทีหลังการระบาดครั้งใหญ่ของโควิด
คาดการณ์เงินเฟ้อปีหน้าที่ 2.7% ในเดือน ต.ค. ไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขในเดือน ก.ย. และอยู่ในช่วง 2.3-3.0% ซึ่งเป็นระดับที่เคยเกิดขึ้นในช่วง 2 ปีก่อนการระบาดครั้งใหญ่ของโควิด ส่วนคาดการณ์เงินเฟ้อระยะยาวปรับลดลงเหลือ 3.0% จากเดือนก่อนที่ 3.1%
ธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งได้หั่นอัตราดอกเบี้ยลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปีในเดือน ก.ย. ที่ 0.50% จะประชุมกันอีกครั้งในอีกสองวันหลังการเลือกตั้ง ทั้งนี้ คาดว่าเจ้าหน้าที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่สอง แต่จะปรับลดเพียง 0.25% ซึ่งน้อยกว่าการปรับลดในครั้งก่อน
ที่มา: รอยเตอร์