โดย ดร.มิ่งขวัญ ทองพฤกษา Chief Economist, BBLAM
ผลการนับคะแนนเบื้องต้นสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดี คนที่ 47 ของสหรัฐฯ ออกมาค่อนข้างจะแน่นอนแล้วว่า Donald Trump ได้รับคะแนนเสียงท่วมท้น ทั้งจากฝั่ง Popular Vote ( 72,405,077 votes (50.9%) vs Harris 67,728,834 votes (47.6%)) และเก้าอี้คณะเลือกตั้ง หรือ Electoral Vote (295 vs Harris 226) อีกทั้งพรรค Republican ได้รับเสียงข้างมาก ทั้ง 2 สภา (House: 205 vs 190 และ Senate: 52 vs 44) ซึ่งมากเพียงพอที่จะเรียก Trump ว่า President Elected หรือ ว่าที่ประธานาธิบดี ซึ่ง Donald Trump จะต้องผ่านพิธีสาบานตน ในวันที่ 20 ม.ค. 2025 จึงจะสามารถเรียกได้ว่า เป็นประธานาธิบดี อย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ดี Trump ได้ประกาศชัยชนะไปเมื่อวานที่ Florida แล้ว ในทางธรรมเนียมของการแข่งขัน ผู้ที่เข้าร่วมแข่งขันจะต้องออกมาแสดงความยินดี และยอมรับกับผลคะแนน ซึ่ง Kamala Harris ได้ออกมาปราศรัยยอมรับผลคะแนนหลังจากนั้น
ตลาดพยายามจะตีความ หรือ Digest เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าจะส่งผลกระทบในเชิงนโยบาย และเศรษฐกิจอย่างไรบ้างเมื่อ Trump กลับเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง ประเด็นที่ตลาดให้ความสนใจเปลี่ยนทิศ จากเดิมที่การหาเสียงมุ่งเน้นไปที่เรื่องภายในประเทศ (เช่น Immigration, Abortion Right, Gun Control และเศรษฐกิจในประเทศ) เป็นให้ความสนใจถึงท่าทีของสหรัฐฯ ที่จะมีต่อจีนจากนี้ไป
ความน่าสนใจเกี่ยวกับประเด็นนี้ เชื่อมโยงกับการแสดงออกทางการเมือง หรือ Political Gesture ระหว่างกันที่ จีนได้แสดงความยินดีกับ Trump สำหรับชัยชนะในการเลือกตั้งสหรัฐฯ ขณะที่มีรายงานว่า Trump ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนไปแล้ว ภายหลังจากที่ทราบผลเลือกตั้ง
ในช่วงที่ผ่านมา ความสัมพันธ์เชิงการเมืองระหว่าง Trump กับประธานาธิบดีของจีน ได้ถูกรับรู้เพียงฉาบฉวยว่า “Trump เป็นผู้เริ่มสงครามทางการค้า” แต่น้อยคนที่จะทราบว่า หลังฉากนั้น ครอบครัวของ Trump มีความสนิทสนมกับครอบครัวของประธานาธิบดีจีน ในระดับที่ Biden ไม่เคยเข้าถึงได้ หลายต่อหลายครั้งที่มีการปล่อยคลิปการรับประทานอาหารร่วมกัน และการพบปะกันเป็นการส่วนตัว ขนาดที่เคยมีคลิปที่หลานสาวของ Trump ร้องเพลงจีน ให้ประธานาธิบดีจีนและภรรยา ซึ่งสร้างความยินดีให้กับประธานาธิบดีเป็นอย่างมาก (Link) เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นหนึ่งเสียงที่สะท้อนว่า การประเมินภาพเพียงแค่หน้าฉาก แต่ขาดการวิเคราะห์หลังฉากทัศน์ทางการเมือง อาจจะเป็นเหตุให้เรามองภาพทางการเมืองให้ “ดูแย่” เกินไป ดังนั้น ในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังเป็นสิ่งที่จะต้องจับตามองพัฒนาการต่อไป
สำหรับมุมมองของตลาดที่มีต่อชัยชนะของ Trump มีดังต่อไปนี้
หมวดหมู่ | Trump ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี (พรรค Republican ชนะทั้งสองสภา) |
ภาพรวมของสถานการณ์ | มีแนวโน้มที่จะส่งผลให้เกิดความคาดหวังเรื่องมาตรการกระตุ้นทางการคลังและการลดภาษี ซึ่งเป็นนโยบายที่ตลาดเคยเห็นว่าช่วยสนับสนุนหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางการค้าอาจส่งผลกระทบต่อส่วนที่เหลือของโลกมากกว่าสหรัฐฯ |
นโยบายการคลัง | นโยบายการคลังที่มีความขยายตัวมากขึ้น: ขยายการลดภาษีตามกฎหมาย TCJA ปี 2017 และอาจมีการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลและบุคคลธรรมดาเพิ่มเติม |
การค้าและภาษีศุลกากร | มุ่งเน้นนโยบายการค้าที่ปกป้องผลประโยชน์มากขึ้น ในระหว่างการหาเสียง Trump แสดงถึงความพร้อมที่จะขึ้นภาษีนำเข้าขั้นต่ำ 60% สำหรับจีน และภาษีนำเข้าทั่วไป 10%-20% สำหรับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก |
นโยบายการย้ายถิ่นฐาน | Trump กล่าวว่า จะเน้นการเนรเทศผู้อพยพ (Deportation) ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ ยกเลิกการให้สิทธิพลเมืองโดยกำเนิด และสร้างกำแพงกั้นชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกเพิ่มเติม |
กฎระเบียบ | กฎระเบียบที่ผ่อนคลายมากขึ้น: คดีผูกขาดน้อยลงและการตรวจสอบการควบรวมกิจการลดลง และน่าจะผ่อนคลายเกณฑ์ของกลุ่มสถาบันการเงิน |
สิ่งแวดล้อม | ภายใต้การบริหารของTrump สหรัฐฯ อาจชะลอการเปลี่ยนผ่านพลังงาน หมุนกลับการลงทุนที่ทำภายใต้กฎหมายการลดเงินเฟ้อ การลงทุนในน้ำมันอาจเพิ่มขึ้นจากที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะออกจากข้อตกลงปารีส หรือ Paris Agreement |