SUPEREIF จ่ายปันผลครั้งที่ 20 ในอัตรา 0.13380 บาทต่อหน่วย วันที่ 11 ธันวาคม 2567 นี้ 

SUPEREIF จ่ายปันผลครั้งที่ 20 ในอัตรา 0.13380 บาทต่อหน่วย วันที่ 11 ธันวาคม 2567 นี้ 

นายพรชลิต   พลอยกระจ่าง   กรรมการผู้จัดการ      Head   of   Real   Estate   &   Infrastructure   Investment บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด หรือBBLAM เปิดเผยว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้า ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี (SUPEREIF) จะจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 20 จากผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 หรือระหว่างวันที่  1   กรกฎาคม  2567   ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567  และกำไรสะสม ในอัตราหน่วยลงทุนละ  0.13380 บาท  โดยกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุน  เพื่อกำหนดสิทธิรับเงินปันผล ในวันที่ 26 พฤศจิกายน  2567 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 11 ธันวาคม 2567

เมื่อนับรวมตั้งแต่จัดตั้งกองทุน  จนถึงการประกาศจ่ายเงินครั้งล่าสุด SUPEREIF จ่ายเงินปันผลรวม 20 ครั้ง คิดเป็นเงิน 3.66448 บาทต่อหน่วย   และจ่ายเงินลดทุนไป  4 ครั้ง   คิดเป็นเงิน  0.501 บาทต่อหน่วย  รวมเป็นเงินปันผลและเงินลดทุนที่จ่ายออกไปทั้งสิ้น 4.16548 บาทต่อหน่วย

โดยตั้งแต่ปีปฏิทิน 2566 เป็นต้นไป หากกองทุนฯ จะมีการจ่ายเงินลดทุนสำหรับรอบผลการดำเนินงานระหว่างปีปฏิทิน กองทุนฯ จะรวบรวมเงินลดทุนดังกล่าวไปจ่ายพร้อมกับเงินจ่ายที่จะพิจารณาจากรอบผลการดำเนินงานสุดท้ายของปีปฏิทินนั้น ๆ โดยสำหรับรอบผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2567 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2567 กองทุนฯ มีสภาพคล่องคงเหลือหลังจากการจ่ายเงินปันผลและการกันสำรองต่าง ๆ ประมาณ 11.1 ล้านบาท หรือ 0.02163 บาทต่อหน่วย สำหรับรอบผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567 กองทุนฯ จะมีสภาพคล่องคงเหลือหลังจากการจ่ายเงินปันผลและการกันสำรองต่างๆ ประมาณ 10.8 ล้านบาท หรือ 0.02106 บาทต่อหน่วย

สรุปผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ปี  2567 พบว่า รายได้รวมเท่ากับ 167.4 ล้านบาท ลดลง 3.2% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และลดลง 21.8% จากไตรมาสก่อน โดยสาเหตุหลักของการลดลงดังกล่าวเป็นเพราะรายได้จากเงินลงทุนในสัญญาโอนสิทธิรายได้สุทธิลดลง 8.2% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และลดลง 25.6% จากไตรมาสก่อน เป็น 158.4 ล้านบาท ทั้งนี้ กองทุนฯ ได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนจากกรณีเหตุการณ์พายุลมแรงที่โครงการกาหลง 2 จังหวัดสมุทรสาครในปี 2566 แล้วในไตรมาสนี้ จำนวน  7.5 ล้านบาท

ในไตรมาสนี้ รายได้ของโครงการ เท่ากับ 228.6 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากการขายไฟฟ้าทั้งหมด เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รายได้จากการขายไฟฟ้าในไตรมาสนี้ลดลง 3.7% จากจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ขายได้ลดลง 3.7% สาเหตุหลักมาจากผลรวมของรังสีแสงอาทิตย์ที่ได้รับบนแผงพลังงานแสงอาทิตย์ที่ลดลง (ปีนี้ฝนตกมากกว่าปีก่อน ซึ่งมีปรากฎการณ์เอลนีโญ) เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน รายได้จากการขายไฟฟ้าในไตรมาสนี้ลดลง 12.1% จากจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ขายได้ลดลง 12.1% อันเป็นผลจากลักษณะของฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงไป

ทั้งนี้ รายได้จากการขายไฟฟ้าในไตรมาสนี้มาจากการผลิตไฟฟ้าขายได้  37.8 ล้านหน่วย

กองทุนรวม SUPEREIF ลงทุนในสิทธิในรายได้สุทธิจากการดำเนินโครงการกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินขนาดเล็กมากของบริษัท 17 อัญญวีร์ โฮลดิ้ง จำกัด และ บริษัท เฮลท์ แพลนเน็ท เมเนจเม้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 19 โครงการ ตั้งอยู่ในพื้นที่ 8 จังหวัด ได้แก่ ปทุมธานี สระบุรี สมุทรสาคร สมุทรปราการ  ปราจีนบุรี  สระแก้ว  พิจิตร   และเพชรบูรณ์    โดยมีปริมาณพลังไฟฟ้าสูงสุดที่เสนอขายตามที่ระบุในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค  หรือการไฟฟ้านครหลวง (แล้วแต่กรณี) รวม 118 เมกะวัตต์

ขณะที่ ระยะเวลาโอนสิทธิรายได้สุทธิ  เริ่มตั้งแต่วันที่  14 สิงหาคม 2562  จนถึงวันสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแต่ละโครงการ ซึ่งระยะเวลาซื้อขายไฟฟ้าภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้าทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 21-22 ปี นับจากวันที่ 14 สิงหาคม 2562 โดยวันสิ้นสุดสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าโครงการสุดท้ายจะสิ้นสุดในวันที่ 26 ธันวาคม 2584

ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจ ลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

BBLAM

13 พฤศจิกายน 2567