อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รุ่น 2 และ 10 ปี ปรับเพิ่มขึ้น +0.50% ถึง +0.53% โดยมีปัจจัยหลักมาจากผลสำรวจคะแนนเสียงของ Donald Trump กลับมามีคะแนนนำคู่ชิง อย่าง Kamala Harris ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน ทำให้ตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ เริ่มแสดงความกังวลต่อนโยบายต่างๆ ของ Donald Trump ที่อาจเป็นปัจจัยเร่งอัตราเงินเฟ้อให้กลับมาอีกครั้ง นอกจากนี้ ตัวเลข Nonfarm payrolls เดือนก.ย.ที่ 2.54 แสนตำแหน่ง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.50 แสนตำแหน่งยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่คอยกดดันตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ ในเดือนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ผลการนับคะแนนเบื้องต้นของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 ปรากฎว่า Donald Trump ได้รับเลือกให้กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง พร้อมกับการที่พรรค Republican ได้รับคะแนนเสียงข้างมากของทั้ง 2 สภา ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน จากนโยบายหาเสียงของ Trump ที่อาจส่งผลให้ FED ต้องปรับแผนการผ่อนคลายนโยบายการเงินในอนาคต โดยตลาดตราสารหนี้เริ่มลดน้ำหนักความคาดหวังต่อการลดอัตราดอกเบี้ยของ FED ในปี 2025 ลงจากเดิมที่คาดว่า จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 4 ครั้งในปีหน้า เหลือเพียง 2-3 ครั้งเท่านั้น
สำหรับผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐฯ (FOMC) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เหลือ 4.50% – 4.75% ในการประชุมเดือนพ.ย. พร้อมยืนยันว่า การดำเนินนโยบายการเงินในอนาคตจะขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจเป็นหลัก และผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของ FOMC
ขณะที่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับลดลงในทุกช่วงอายุ -0.10% ถึง -0.01% จากผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.) ในวันที่ 16 ต.ค.ที่มีมติ 5:2 ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 2.25% โดยกนง.มีมุมมองว่า อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสอดคล้องกับศักยภาพของเศรษฐกิจไทย และไม่เป็นอุปสรรคต่อแผนการปรับลดหนี้ครัวเรือนในอนาคต เนื่องจากแนวโน้มสินเชื่อที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา พร้อมปรับประมาณการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2024 และ 2025 เป็น 2.7% และ 2.9% ตามลำดับ จากเดิมที่คาดไว้ที่ 2.6% และ 3.0%
Fund Comment
Fund Comment ตุลาคม 2024: มุมมองตลาดตราสารหนี้
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รุ่น 2 และ 10 ปี ปรับเพิ่มขึ้น +0.50% ถึง +0.53% โดยมีปัจจัยหลักมาจากผลสำรวจคะแนนเสียงของ Donald Trump กลับมามีคะแนนนำคู่ชิง อย่าง Kamala Harris ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน ทำให้ตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ เริ่มแสดงความกังวลต่อนโยบายต่างๆ ของ Donald Trump ที่อาจเป็นปัจจัยเร่งอัตราเงินเฟ้อให้กลับมาอีกครั้ง นอกจากนี้ ตัวเลข Nonfarm payrolls เดือนก.ย.ที่ 2.54 แสนตำแหน่ง สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.50 แสนตำแหน่งยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่คอยกดดันตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ ในเดือนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ผลการนับคะแนนเบื้องต้นของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 ปรากฎว่า Donald Trump ได้รับเลือกให้กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง พร้อมกับการที่พรรค Republican ได้รับคะแนนเสียงข้างมากของทั้ง 2 สภา ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน จากนโยบายหาเสียงของ Trump ที่อาจส่งผลให้ FED ต้องปรับแผนการผ่อนคลายนโยบายการเงินในอนาคต โดยตลาดตราสารหนี้เริ่มลดน้ำหนักความคาดหวังต่อการลดอัตราดอกเบี้ยของ FED ในปี 2025 ลงจากเดิมที่คาดว่า จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 4 ครั้งในปีหน้า เหลือเพียง 2-3 ครั้งเท่านั้น
สำหรับผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐฯ (FOMC) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% เหลือ 4.50% – 4.75% ในการประชุมเดือนพ.ย. พร้อมยืนยันว่า การดำเนินนโยบายการเงินในอนาคตจะขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจเป็นหลัก และผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของ FOMC
ขณะที่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับลดลงในทุกช่วงอายุ -0.10% ถึง -0.01% จากผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.) ในวันที่ 16 ต.ค.ที่มีมติ 5:2 ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 2.25% โดยกนง.มีมุมมองว่า อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสอดคล้องกับศักยภาพของเศรษฐกิจไทย และไม่เป็นอุปสรรคต่อแผนการปรับลดหนี้ครัวเรือนในอนาคต เนื่องจากแนวโน้มสินเชื่อที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา พร้อมปรับประมาณการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2024 และ 2025 เป็น 2.7% และ 2.9% ตามลำดับ จากเดิมที่คาดไว้ที่ 2.6% และ 3.0%