ตลากหุ้นโลกในเดือนตุลาคมค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยในช่วงต้นเดือนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นจากตัวเลขการจ้างงานที่ออกมาดีกว่าคาด ซึ่งทำให้ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจถดถอยมีน้อยลง ด้านผลประกอบการที่ทยอยประกาศออกมาก่อน อย่างกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่ดีกว่าคาด จึงเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดปรับตัวขึ้นในช่วงสั้น แต่ผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยีที่ประกาศออกมาในช่วงปลายเดือนนั้น บางบริษัทแม้จะมีผลกำไรที่ออกมาดี แต่ได้ให้มุมมองต่อค่าใช้จ่ายลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสำหรับพัฒนา AI ว่าจะสูงขึ้นในอนาคต ทำให้มีแรงเทขายออกมาจนตลาดปรับตัวลงในช่วงปลายเดือน
อย่างไรก็ตาม หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 6 พฤศจิกายน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นมาก ด้วยนโยบายของนายทรัมป์ที่เป็นผลบวกต่อบริษัทจดทะเบียนมากขึ้น เช่น การปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา เป็นต้น นอกจากนี้ ในการประชุม FOMC รอบเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเฟดยังไม่ได้แสดงความกังวลต่อว่า เงินเฟ้อจะกลับมาเร่งตัวสูงขึ้น และได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาด โดยตลาดส่วนใหญ่คาดว่า เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมเดือนธันวาคม ซึ่งทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับลดลงบ้าง ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อตลาด หลังจากที่ก่อนหน้านี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐฯ ทยอยปรับไปถึงระดับ 4.4% ด้วยความคาดการณ์ของนักลงทุนว่า นายทรัมป์น่าจะชนะการเลือกตั้งและนโยบายของทรัมป์จะทำให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวสูงขึ้นในอนาคต โดยรวมแล้ว ปัจจัยของตลาดหุ้นต่างประเทศค่อนข้างเป็นไปในทางบวก
อย่างไรก็ตาม ฝั่งตลาดหุ้นไทยเดือนตุลาคมปิดปรับตัวลงน้อยกว่าตลาดโลก หลังจากช่วงที่ผ่านมา ตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นจากความคาดหวังของนโยบายภาครัฐ และเม็ดเงินของกองทุนวายุภักษ์ที่ทยอยไหลเข้ามา ซึ่งเป็นผลบวกต่อหุ้นที่มีขนาดใหญ่และหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเงินปันผลที่ดี ส่งผลให้ตลาดปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดในระหว่างเดือนที่ 1,506 จุด หลังจากการประชุมกนง.มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ซึ่งส่งผลให้หุ้นในกลุ่ม Finance และหุ้นในกลุ่มที่มีต้นทุนภาระดอกเบี้ยสูงปรับตัวเพิ่มขึ้น ก่อนที่ตลาดจะปรับตัวลงในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนจากแรงเทขายทำกำไรในหุ้นขนาดใหญ่บางตัวที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก และผลประกอบการที่ประกาศออกมาของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ยังไม่ได้เห็นพัฒนาการที่ดีขึ้น รวมทั้งผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ในไตรมาส 3 คาดว่ายังไม่โดดเด่นเท่าใด สอดคล้องกับ ปัจจัยภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังขยายตัวได้ค่อนข้างช้า ทำให้ในระยะสั้นอาจจะเห็นการพักฐานของตลาดได้บ้าง โดยตลาดหุ้นไทยยังต้องรอผลบวกทางเศรษฐกิจที่มีความชัดเจนมากขึ้น จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางภาครัฐ และจากเม็ดเงินงบประมาณใหม่ที่จะมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงระยะต่อจากนี้
Fund Comment
Fund Comment ตุลาคม 2024: ภาพรวมตลาดหุ้น
ตลากหุ้นโลกในเดือนตุลาคมค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยในช่วงต้นเดือนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นจากตัวเลขการจ้างงานที่ออกมาดีกว่าคาด ซึ่งทำให้ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจถดถอยมีน้อยลง ด้านผลประกอบการที่ทยอยประกาศออกมาก่อน อย่างกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่ดีกว่าคาด จึงเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดปรับตัวขึ้นในช่วงสั้น แต่ผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยีที่ประกาศออกมาในช่วงปลายเดือนนั้น บางบริษัทแม้จะมีผลกำไรที่ออกมาดี แต่ได้ให้มุมมองต่อค่าใช้จ่ายลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสำหรับพัฒนา AI ว่าจะสูงขึ้นในอนาคต ทำให้มีแรงเทขายออกมาจนตลาดปรับตัวลงในช่วงปลายเดือน
อย่างไรก็ตาม หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 6 พฤศจิกายน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นมาก ด้วยนโยบายของนายทรัมป์ที่เป็นผลบวกต่อบริษัทจดทะเบียนมากขึ้น เช่น การปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา เป็นต้น นอกจากนี้ ในการประชุม FOMC รอบเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเฟดยังไม่ได้แสดงความกังวลต่อว่า เงินเฟ้อจะกลับมาเร่งตัวสูงขึ้น และได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาด โดยตลาดส่วนใหญ่คาดว่า เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมเดือนธันวาคม ซึ่งทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับลดลงบ้าง ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อตลาด หลังจากที่ก่อนหน้านี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐฯ ทยอยปรับไปถึงระดับ 4.4% ด้วยความคาดการณ์ของนักลงทุนว่า นายทรัมป์น่าจะชนะการเลือกตั้งและนโยบายของทรัมป์จะทำให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวสูงขึ้นในอนาคต โดยรวมแล้ว ปัจจัยของตลาดหุ้นต่างประเทศค่อนข้างเป็นไปในทางบวก
อย่างไรก็ตาม ฝั่งตลาดหุ้นไทยเดือนตุลาคมปิดปรับตัวลงน้อยกว่าตลาดโลก หลังจากช่วงที่ผ่านมา ตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นจากความคาดหวังของนโยบายภาครัฐ และเม็ดเงินของกองทุนวายุภักษ์ที่ทยอยไหลเข้ามา ซึ่งเป็นผลบวกต่อหุ้นที่มีขนาดใหญ่และหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเงินปันผลที่ดี ส่งผลให้ตลาดปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดในระหว่างเดือนที่ 1,506 จุด หลังจากการประชุมกนง.มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ซึ่งส่งผลให้หุ้นในกลุ่ม Finance และหุ้นในกลุ่มที่มีต้นทุนภาระดอกเบี้ยสูงปรับตัวเพิ่มขึ้น ก่อนที่ตลาดจะปรับตัวลงในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนจากแรงเทขายทำกำไรในหุ้นขนาดใหญ่บางตัวที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก และผลประกอบการที่ประกาศออกมาของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ยังไม่ได้เห็นพัฒนาการที่ดีขึ้น รวมทั้งผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ในไตรมาส 3 คาดว่ายังไม่โดดเด่นเท่าใด สอดคล้องกับ ปัจจัยภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังขยายตัวได้ค่อนข้างช้า ทำให้ในระยะสั้นอาจจะเห็นการพักฐานของตลาดได้บ้าง โดยตลาดหุ้นไทยยังต้องรอผลบวกทางเศรษฐกิจที่มีความชัดเจนมากขึ้น จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางภาครัฐ และจากเม็ดเงินงบประมาณใหม่ที่จะมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงระยะต่อจากนี้