‘ฮอนด้า-นิสสัน’ ควบรวมสู้ ‘อีวี’ ขึ้นแท่นเบอร์ 3 ยอดขายโลก – รับมือศึกรถยนต์ไฟฟ้าเดือด “โตโยต้า” ย้ำฐานผลิตไทย ลงทุน 5 ปี 5.5 หมื่นล้านบาท
2 ค่ายรถยนต์เบอร์ 2 และ 3 ในญี่ปุ่น “ฮอนด้า-นิสสัน” หารือความเป็นไปได้แผน “ควบรวมกิจการ” เพื่อขึ้นเป็นบริษัทรถยนต์ยอดขายอันดับ 3 ของโลก สู้ศึกรถยนต์ไฟฟ้าโลกในยุคอีวีจีน-เทสลาครองเมือง ด้าน “โตโยต้า” ยืนยันลงทุนไทย 5.5 หมื่นล้านบาท ใน 5 ปี
สำนักข่าวบลูมเบิร์กและนิกเกอิเอเชีย รายงานอ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า บริษัท “ฮอนด้า มอเตอร์” (Honda Motor) และ “นิสสัน มอเตอร์” (Nissan Motor) กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในแผนการควบรวมกิจการระหว่างกัน ซึ่งหากเป็นความจริง จะทำให้เกิดบริษัทรถยนต์แห่งใหม่ที่มีขนาดใหญ่อันดับ 3 ขอโลก กลายเป็นคู่แข่งที่ท้าชน “โตโยต้า มอเตอร์” (Toyota Motor) ในญี่ปุ่นได้ และช่วยรับมือความท้าทายการแข่งขันทั่วโลกได้ยิ่งขึ้นในยุครถยนต์ไฟฟ้า (อีวี)
รองประธานบริหารของฮอนด้า ชินจิ โอยามะ เปิดเผยว่า ฮอนด้ากำลังพิจารณาหลายทางเลือก ซึ่งรวมถึง “การควบรวมกิจการ การร่วมทุนกันในด้านทุน และการจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งขึ้นมา”
หลังจากมีรายงานข่าวเรื่องนี้ตั้งแต่คืนวันที่ 17 ธ.ค.2567 ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นนิสสันพุ่งสูงสุดถึง 24% ระหว่างซื้อขายเช้าวันพุธที่ 18 ธ.ค.2567 สวนทางราคาหุ้น ฮอนด้าร่วงถึง 3.4% ระหว่างการซื้อขาย
แหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องเปิดเผยว่า ทั้ง 2 บริษัทหารือเบื้องต้นเกี่ยวกับการรวมกิจการ และตัวเลือกหนึ่งที่กำลังพิจารณา คือ การตั้งบริษัทโฮลดิ้งใหม่ ซึ่งธุรกิจที่รวมกันแล้วจะดำเนินการภายใต้บริษัท โฮลดิ้งใหม่ โดยอาจขยายไปรวมถึงบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (Mitsubishi Motors) ที่นิสสันถือหุ้น 24% เข้ามารวมด้วย
หากข้อตกลงนี้เกิดขึ้นจริง อุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่นจะถูกแบ่งเป็นสองกลุ่มหลัก คือ 1.กลุ่มที่รวมฮอนด้า นิสสันและมิตซูบิชิ 2.กลุ่มที่นำโดยโตโยต้า การรวมกลุ่มครั้งนี้ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายมีทรัพยากรแข็งแกร่งขึ้น เพื่อแข่งกับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ระดับโลกมีประสิทธิภาพขึ้น โดยเฉพาะหลังจากนิสสันและฮอนด้าลดความสัมพันธ์กับพันธมิตรเดิมอย่างเรโนลต์ (Renault) และเจนเนอรัล มอเตอร์ส (GM)
“หากการควบรวมเกิดขึ้นจริง จะบรรเทาปัญหาทางการเงินระยะสั้นของนิสสันได้” ทัตสึโอะ โยชิดะ นักวิเคราะห์ อุตสาหกรรมยานยนต์อาวุโสของ บลูมเบิร์ก อินเทลลิเจนซ์ กล่าว
ทั้งนี้ การควบรวมกิจการจะช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์ทั้ง 2 ราย แข่งขันกับคู่แข่งด้านรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง เทสลา มอเตอร์ (Tesla Motor) และบรรดาผู้ผลิตรถยนต์จีนได้
“แม้ว่าจะเป็นข่าวดีสำหรับนิสสันเพราะสภาพที่อ่อนแอ แต่ยังมีปัญหาทับซ้อนและปัญหาอื่นอีกมากที่ต้องเอาชนะ” จูเลีย บูต นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัทเพลลัม สมิทเธอร์ส แอสโซซิเอทส์ กล่าว “สำหรับกลุ่มโตโยต้าอาจเห็นการเร่งตัวเช่นกัน เพราะโตโยต้ารวมกลุ่มแน่นแฟ้นขึ้น ภายใต้การแสดงความมุ่งมั่น พร้อมด้วยความเป็นไปได้ในการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในซูบารุ ซูซูกิและมาสด้า เร็วกว่าที่คาด”
ปัจจุบัน มูลค่าตลาดของฮอนด้า ณ สิ้นสุดการซื้อขายเมื่อวันที่ 17 ธ.ค.2567 อยู่ที่ 6.8 ล้านล้านเยน สูงกว่ามูลค่าตลาดของนิสสันซึ่งอยู่ที่ 1.3 ล้านล้านเยน แต่แม้รวมกันแล้ว มูลค่าทั้ง 2 บริษัทยังน้อยกว่ามูลค่าตลาดของโตโยต้าที่ 42.2 ล้านล้านเยน
สำหรับ “ฮอนด้า” ประสบปัญหาการแข่งขัน ลงทุนเทคโนโลยีใหม่กับคู่แข่งที่ทุนจดทะเบียนสูงกว่า บริษัทจึงหันมาให้ความสำคัญกับรถไฮบริดมากขึ้น แม้ทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อผลิต ยานยนต์ไฟฟ้าแล้วก็ตาม นอกจากนี้ ความร่วมมือ กับบริษัทจีเอ็มอ่อนลง เมื่อเร็วๆ นี้ทั้ง 2 บริษัทยุติความร่วมมือด้านรถยนต์ขับขี่อัตโนมัติ ขณะที่ จีเอ็มกลับไปผูกมิตรกับค่ายฮุนได จากเกาหลีใต้ มากขึ้นแทน
ด้าน “นิสสัน” ต้องการพันธมิตรเพื่อฟื้นฟูฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ขณะที่ บริษัทเร่งความพยายามในการปรับโครงสร้างองค์กร เพื่อรับมือกับการเติบโตของรายได้ที่ชะลอตัวและผลกำไรที่ลดลง บริษัทยังเผชิญกับแรงกดดันจากนักลงทุนเชิงรุก และภาระหนี้สินที่หนักอึ้ง
บลูมเบิร์ก รายงานก่อนหน้านี้ว่า นิสสันกำลังสู้เพื่อรอดอีกครั้ง โดยแบรนด์เรือธงของญี่ปุ่นกำลังอยู่ภาวะวิกฤติหลังจากยอดขาย 2 ตลาดสำคัญอย่าง “สหรัฐฯ” และ “จีน” ลด จนสูญเสียรายได้มหาศาล นำไปสู่การเลิกจ้างพนักงาน 9,000 ตำแหน่งทั่วโลก ลดกำลังการผลิต รถยนต์ลงถึง 1 ใน 5 ลดคาดการณ์กำไร รายปีลง และล่าสุดปรับโครงสร้างฝ่ายบริหาร ครั้งใหญ่ในสัปดาห์นี้
เดือน พ.ย.ที่ผ่านมา นิสสันประกาศลดคาดการณ์ผลกำไรจากการดำเนินงานลงถึง 70% ในปีงบประมาณปัจจุบัน จากเดิม 5 แสนล้านเยน เหลือเพียง 1 แสนล้านเยน ขณะที่รายรับสุทธิรอบครึ่งปีแรกดิ่งหนักถึง 94%
บริษัทแถลงระหว่างการรายงาน ผลประกอบการว่า จะขายหุ้นบริษัทพาร์ตเนอร์อย่าง มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ป ลง 1 ใน 3 หรือ คิดเป็นมูลค่า 6.9 หมื่นล้านเยน หลังจากเผาเงินไปเกือบ 4.5 แสนล้านเยน ช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ
แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ระดับสูงรายหนึ่งของนิสสัน เคยเปิดเผยกับไฟแนนเชียลไทมส์ ว่า นิสสันเหลือเวลาอยู่รอดได้อีก 12-14 เดือน ขณะที่ บลูมเบิร์กอธิบายว่า นิสสันจะเผชิญวิกฤติหนี้หุ้นกู้มหาศาลที่ครบกำหนดไถ่ถอน 2.4 แสนล้านเยน (ราว 5.4 หมื่นล้านบาท) ในปีหน้า และอีก 8.5 แสนล้านเยน (ราว 1.9 แสนล้านบาท) ในปี 2569
จับตาควบรวมช่วยพ้นวิกฤติหรือไม่
ทาคุมะ อิเคโมโตะ นักวิเคราะห์ตลาดจากบริษัทโทไค โตเกียว อินเทลลิเจนซ์ แลบอราทอรี กล่าวกับนิกเกอิเอเชียว่า แม้มีความกังวลเกี่ยวกับนิสสันในอนาคต แต่ตลาดตอบสนองเชิงบวกต่อความร่วมมือ ครั้งนี้และเดินหน้าต่อ เพราะฮอนด้าทำให้ตลาดอุ่นใจได้
นักวิเคราะห์ ระบุว่า นิสสันและมิตซูบิชิเน้นพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าแทนที่จะมุ่งเทคโนโลยี ไฮบริดเต็มรูปแบบเหมือนโตโยต้า แต่เทคโนโลยีนี้กำลังเป็นที่ต้องการมากในตลาดสหรัฐและเป็นหนึ่งในจุดแข็งของฮอนด้า ซึ่งนิสสันและมิตซูบิชิสร้างความสัมพันธ์ในเชิงเข้าไปเสริม กับฮอนด้าได้ แม้ว่าหากเปรียบเทียบกันแล้ว นิสสันอาจเป็นภาระให้ฮอนด้าเพราะมีอัตรากำไรต่างกัน ทั้งนี้ ปัจจัยต่อไปที่ส่งผลต่อราคาหุ้นคือ “การจัดตั้งทีมผู้บริหารว่าจะเป็นอย่างไร และแต่ละบริษัทจะแบ่งหน้าที่และตลาดกันอย่างไร”
โยชิทากะ อิชิยามะ นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์มิซูโฮ ซีเคียวริตีส์ ระบุว่า ข่าวนี้เป็นปัจจัยบวกสำหรับราคาหุ้นระยะสั้นทั้งนิสสันและฮอนด้า เพราะบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ของความร่วมมือที่ลึกซึ้งและมีประสิทธิภาพขึ้นระหว่าง 2 บริษัท
ก่อนหน้านี้ ตลาดเคยไม่มั่นใจว่านิสสันจะฟื้นกลับมาได้อย่างไรหลังประกาศปฏิรูปเชิงโครงสร้าง แต่เมื่อประกาศเป็นพันธมิตรเชิงลึกกับฮอนด้า อาจทำให้จัดทำแผนงานปรับโครงสร้างได้ง่ายขึ้น
“โตโยต้า” ยืนยันลงทุนไทย 5.5 หมื่นล้าน
นายคารม พลพรกลาง รองโฆษก ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หารือร่วมกับนายอากิโอะ โตโยดะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น
ทั้งนี้ได้หารือแนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทย โดยเห็นพ้องการจัดทำนโยบายและมาตรการให้สอดคล้องความต้องการของกลุ่มตลาดผู้ใช้รถยนต์และลูกค้ากลุ่มผู้ประกอบการ โดยเฉพาะการผลิตรถยนต์ Hybrid ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ำว่ารัฐบาลพร้อมรักษาอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทย
นายอากิโอะ โตโยดะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า โตโยต้าดำเนินธุรกิจในไทยมาแล้วกว่า 60 ปี และมีไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญของโตโยต้าสำหรับกลุ่มรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ รวมถึงยานยนต์ประเภทอื่น ซึ่งเชื่อมั่นในชิ้นส่วนการประกอบรถยนต์ที่มีคุณภาพและมาตรฐานการผลิตร่วมกับไทย ที่ญี่ปุ่นให้การยอมรับในมาตรฐานเดียวกับโตโยต้าญี่ปุ่น
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า โตโยต้า ยืนยันรักษาฐานการผลิตรถยนต์ในไทย อีกทั้งนำเงินไม่ต่ำกว่า 55,000 ล้านบาท ลงทุนใน 5 ปี เพื่ออัปเกรดสายการผลิตสู่รถไฮบริด ซึ่งจากเดิมที่เป็นฐานการผลิตเครื่องยนต์สันดาปภายในจะเพิ่มเติมชิ้นส่วนไฟฟ้า เช่น มอเตอร์ เกียร์
ที่มา: บลูมเบิร์ก และนิกเกอิเอเชีย