เฮดจ์ฟันด์ยักษ์ใหญ่ทำผลตอบแทนแตะ 2 หลักในปี 2024

เฮดจ์ฟันด์ยักษ์ใหญ่ทำผลตอบแทนแตะ 2 หลักในปี 2024

เฮดจ์ฟันด์ยักษ์ใหญ่ทำผลตอบแทนแตะ 2 หลักในปี 2024 รับแรงหนุนตลาดผันผวน จากเลือกตั้งสหรัฐฯ-ดอกเบี้ยขาลง

สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า กองทุนเฮดจ์ฟันด์ขนาดใหญ่บางส่วนปิดการซื้อขายปี 2024 โดยทำผลตอบแทนเพิ่มขึ้นในระดับเลขสองหลัก รับอานิสงส์จากความผันผวนในตลาด การเปลี่ยนแปลงนโยบายของบรรดาธนาคารกลาง และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

กองทุนเฮดจ์ฟันด์ ซึ่งเทรดสินทรัพย์หลายประเภท ครอบคลุมหุ้นไปจนถึงสินค้าโภคภัณฑ์ สามารถเอาชนะตลาดที่ผันผวนได้ในระดับหนึ่งในปีที่ผ่านมา โดยกองทุนเฮดจ์ฟันด์ Discovery Capital ของ Rob Citrone ปิดปี 2024 ทำผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 52% หลังทำกำไรจากหุ้น การซื้อขายสกุลเงิน อัตราแลกเปลี่ยน และกลุ่มตราสารหนี้และสินเชื่อ โดยมีการซื้อขายทั้งในตลาดประเทศกำลังพัฒนาและพัฒนาแล้ว เมื่อแบ่งตามภาคอุตสาหกรรม กองทุนดังกล่าวทำกำไรหลัก ๆ จากภาคการเงิน เทคโนโลยี สื่อและโทรคมนาคม (TMT)

แหล่งข่าว เผยกับรอยเตอร์ว่า กองทุนเฮดจ์ฟันด์ Marshall Wace ของอังกฤษ ซึ่งบริหารจัดการสินทรัพย์เกือบ 7.10 หมื่นล้านดอลลาร์ ทำกำไรแตะเลขสองหลักจากกองทุนหลายกอง โดยมีกำไรประมาณ 14% จากกองทุน Eureka

ส่วนกองทุน Pure Alpha ระดับเรือธงของ Bridgewater Associates ทำกำไรมากกว่า 11% ในปี 2024 (นับจนถึงวันที่ 27 ธ.ค.) นอกจากนี้ ยังมีบริษัทการลงทุนเชิงกลยุทธ์ขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ที่รายงานผลตอบแทนเป็นตัวเลขสองหลักเช่นกัน โดย Strategic Partners เฮดจ์ฟันด์เรือธงของ Schonfeld เพิ่มขึ้น 19.7% ในปี 2024

กองทุนเรือธงของ Citadel อย่าง Wellington รายงานกำไรเพิ่มขึ้น 15.1% ในขณะที่ Millennium Management ทำผลตอบแทนได้ 15% ตามข้อมูลจากแหล่งข่าว  โดย Citadel ยังเสนอตัวเลือกให้ลูกค้าสามารถถอนกำไรจากกองทุน Wellington แปลงเป็นเงินสด ซึ่งมีลูกค้าจำนวนเพียงไม่กี่รายที่รับข้อเสนอนี้ โดยมูลค่าการไถ่ถอนรวมกันอยู่ที่ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากกำไรมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ขณะที่ กองทุนที่ใช้กลยุทธ์ Multi strategy สองกองของ D.E. Shaw มีผลตอบแทนสองหลักเช่นกัน รวมถึงกองทุน Composite fund ระดับเรือธง ทำกำไรได้ 18% ในปี 2024 และกองทุน Oculus ที่เน้นการลงทุนในระดับมหภาค ทำกำไรไปได้ 36% ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นสถิติรายปีที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้น

ผลตอบแทนในปีที่แล้วได้แรงหนุนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดและธนาคารกลางหลายแห่งที่เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น ขณะที่การคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของโดนัลด์ ทรัมป์ รวมไปถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดผันผวน

ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับปี 2023 กองทุนเฮดจ์ฟันด์ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 5.7% ในช่วงปีต้นปีจนถึงเดือนพ.ย. ตามข้อมูลของ PivotalPath

ที่มา: รอยเตอร์