*** ผลสำรวจของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขานิวยอร์ก เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (13 ม.ค.) ระบุว่า ผู้บริโภคในสหรัฐฯ มีมุมมองที่ไม่ชัดเจนในเดือนธ.ค. เนื่องจากความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือน โดยผู้ตอบแบบสอบถามมองว่า อัตราเงินเฟ้อในช่วงหนึ่งปีข้างหน้า จะทรงตัวที่ 3% ขณะที่คาดการณ์ในอีก 3 ปีข้างหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 3% จาก 2.6% ในการสำรวจเดือนพ.ย. และลดลงเหลือ 2.7% ในช่วง 5 ปี จากตัวเลข 2.9% ในเดือนพ.ย.
*** สมาชิกของสหภาพยุโรป (EU) 6 ประเทศ เรียกร้องให้คณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ปรับลดราคาน้ำมันดิบของรัสเซียที่กลุ่มประเทศ G7 กำหนดไว้อยู่ที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล โดยให้เหตุผลเพื่อกดดันรายได้ของรัสเซียที่นำไปใช้ในการทำสงครามในยูเครนต่อไปโดยไม่ส่งผลกระทบต่อตลาด
*** การแสดงความสนใจที่จะขอซื้อ หรือไม่เช่นนั้นอาจใช้กำลังยึดเกาะกรีนแลนด์ซึ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ ของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานธิบดีสหรัฐฯ กลายเป็นข้อถกเถียงที่ร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา โดยสำนักข่าวรอยเตอร์วิเคราะห์ว่า การกระทำดังกล่าวถือเป็นการรุกรานซึ่งจะสร้างความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานของแร่หายาก และอาจทำให้ชาติตะวันตกอ่อนแอลงในการต่อสู้กับจีน
** ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของจีนมีแนวโน้มเผชิญการชะลอตัวที่รุนแรงในปี 2025 จากการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ซึ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับบริษัทต่างๆ โดยยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ ซึ่งรวมถึงรถยนต์ที่ใช้แบตเตอรี่เพียงอย่างเดียวและรถยนต์ไฮบริด พุ่งขึ้น 42% เมื่อปีที่แล้ว มาอยู่ที่เกือบ 11 ล้านคัน อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ของ HSBC คาดการณ์ว่า ยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ของจีนจะเพิ่มขึ้นเพียง 20% ในปีนี้ โดยมีแนวโน้มที่จะเกิดการควบรวมกิจการเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมยานยนต์
*** คณะทำงานด้านการเปลี่ยนผ่านตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยตารางงานการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ และกิจกรรมอื่น ๆ ที่จะจัดขึ้นในช่วงพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 ในสัปดาห์หน้า โดยตารางงานพิธี 4 วัน ประกอบด้วยการแสดงดอกไม้ไฟและงานเลี้ยงรับรองระดับ VIP 3 งานในสนามกอล์ฟของทรัมป์ นอกกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. รวมถึงการรวมตัวภายใต้แคมเปญ MAGA เพื่อเฉลิมฉลองก่อนถึงพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง
*** บริษัท โมเดอร์นา หั่นคาดการณ์รายได้ปี 2025 ลงประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ จากปัจจัยการนำวัคซีนป้องกันไวรัส RSV มาใช้ได้ล่าช้ากว่ากำหนด รวมถึงความต้องการวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ลดลง ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทปิดตลาดร่วงกว่า 16.8%
*** สำนักข่าว CNN รายงานว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออกมาตรการจำกัดการส่งออกชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) รอบใหม่ โดยเป็นความพยายามครั้งสุดท้ายที่จะป้องกันไม่ให้คู่แข่งอย่างจีนเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง หนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะอำลาตำแหน่ง โดยมาตรการรอบใหม่คาดว่าจะยิ่งทำให้ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนรุนแรงขึ้น ก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์จะเข้ามารับตำแหน่งต่อ นอกจากนี้ ยังทำเกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ เช่น Nvidia และ Oracle
*** แหล่งข่าววงในระบุว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลจีนกำลังพิจารณาทางเลือกที่เป็นไปได้เกี่ยวกับการขายกิจการ TikTok โดยหนึ่งในนั้นคือ การให้อีลอน มัสก์ เข้าบริหารการดำเนินกิจการ TikTok ในสหรัฐฯ หากบริษัทไม่สามารถขัดขางการแบนการใช้งานแอปพลิเคชันได้ โดยรายงานจากแหล่งข่าวยังเผยว่า รัฐบาลจีนต้องการให้ TikTok ยังคงเป็นของบริษัทแม่ ByteDance ต่อไป ขณะที่บริษัทยังคงต่อสู้ตามกระวนการในชั้นศาลด้วยการอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาสหรัฐฯ ด้านผู้พิพากษาได้ส่งสัญญาณมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนการใช้กฎหมายให้บริษัทขายกิจการ มิฉะนั้นอาจต้องถูกแบนการใช้งานในสหรัฐฯ
*** ตลาดหุ้นอินเดียมีแนวโน้มขาดทุนในไตรมาสแรกปีนี้ เนื่องจากการชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงตึงตัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทจดทะเบียนและกระแสเงินทุนจากต่างประเทศ โดยผลสำรวจอย่างไม่เป็นทางการของบลูมเบิร์ก ที่สำรวจความเห็นนักกลยุทธ์ศาสตร์และผู้จัดการกองทุน 22 ราย ระบุว่า บ่งชี้ว่า ดัชนี NSE Nifty 50 มีแนวโน้มลดลงอย่างน้อย 5% ในช่วงดังกล่าว นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยจากความมกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในช่วงที่โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ที่มา: สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย