สรุปข่าวต่างประเทศ ประจำวันอังคารที่ 21 มกราคม 2568

สรุปข่าวต่างประเทศ ประจำวันอังคารที่ 21 มกราคม 2568

** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ เปิดเผยแผนการณ์เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันและก๊าซของสหรัฐฯ สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีการประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานด้วยการเพิ่มการขุดเจาะน้ำมัน วางท่อน้ำมัน และตั้งโรงกลั่นน้ำมัน ยกเลิกกฎระเบียบที่มากเกินไป และถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงระหว่างประเทศ ในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศ ซึ่งความเคลื่อนไหวครั้งนี้ บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในนโยบายพลังงานของสหรัฐฯ หลังจากที่อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน พยายามส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา และสร้างให้สหรัฐฯ เป็นผู้นำโลก ในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน

*** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ จะยังไม่กำหนดปรับขึ้นภาษีศุลกากรในทันที หลังเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯอย่างเป็นทางการในวันนี้ อย่างไรก็ตาม ได้กล่าวในการกล่าวสุนทรพจน์รับตำแหน่งว่า สหรัฐฯ จะเรียกเก็บรายได้ “จำนวนมหาศาล” จากภาษีการค้าต่างประเทศ ในขณะที่รัฐบาลของเขาเร่งทำงานเพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมของประเทศ โดยคณะเจ้าหน้าที่รัฐบาลของทรัมป์กล่าวว่า ทรัมป์จะออกบันทึกข้อตกลงการค้าที่ครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งจะยังไม่ถึงขั้นปรับขึ้นภาษีศุลกากรในทันที แต่สั่งให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางประเมินความสัมพันธ์ทางการค้าของสหรัฐฯ กับจีน แคนาดา และเม็กซิโก

*** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ลงนามเพิกถอนคำสั่งฝ่ายบริหารปี 2023 ที่ลงนามโดยอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน โดยมุ่งหวังที่จะลดความเสี่ยงที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภค แรงงาน และความมั่นคงของชาติ โดยคำสั่งของไบเดน กำหนดให้ผู้พัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อความมั่นคงของชาติ เศรษฐกิจ สาธารณสุข หรือความปลอดภัยของสหรัฐฯ ต้องแบ่งปันผลการทดสอบความปลอดภัยกับรัฐบาลสหรัฐฯ ตามพระราชบัญญัติการผลิตเพื่อการป้องกันประเทศ ก่อนที่จะนำออกไปเผยแพร่สู่สาธารณะ

*** บรรดานักลงทุนต่างแสดงความรู้สึกยินดีต้อนรับ ต่อพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯเป็นสมัยที่ 2 ของโดนัลด์ ทรัมป์ โดยกล่าวว่านี่เป็นสัญญาณของวาระที่เอื้อต่อธุรกิจ และพวกเขารู้สึกโล่งใจที่นโยบายการค้าแบบปกป้องผลประโยชน์ในประเทศ อาจถูกนำมาใช้อย่างเป็นระบบมากกว่าที่หลายคนกังวล โดยทรัมป์เข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ พร้อมกล่าวสุนทรพจน์ที่เต็มไปด้วยความหวัง ซึ่งครอบคลุมการปฏิรูปการค้า การปราบปรามการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฏหมาย การลดภาษี และการผ่อนคลายกฎระเบียบเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซี

*** บรรดามหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยี นักการทูตต่างประเทศ และซีอีโอบริษัทยักษ์ใหญ่ ต่างเดินทางเข้าร่วมพิธีสาบานตนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ โดยหลายคนเข้าร่วมพิธีในโบสถ์เซนต์จอห์นในกรุงวอชิงตัน พร้อมนั่งในตำแหน่งที่โดดเด่นในอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ก่อนที่ทรัมป์จะกล่าวสุนทรพจน์ ซึ่งโดยปกติแล้ว พิธีทางศาสนานี้เป็นส่วนที่ไม่ค่อยได้รับความสนใจในวันพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งมากนัก แต่ในปัจจุบันได้กลายเป็นพิธี ที่บ่งชี้ว่า “ใครเป็นใคร” ของบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในสหรัฐฯ และของโลก

*** ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส กล่าวเตือนว่า เงินภาษีหลายพันล้านยูโรที่ใช้จ่ายในงบประมาณทางทหารของยุโรป ไม่ควรถูกใช้ไปกับการซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ เพียงอย่างเดียว โดยผลักดันให้มีการลงทุนเพิ่มเติมในอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศที่ผลิตขึ้นเองภายในประเทศ

คำกล่าวของมาครง เกิดขึ้นล่วงหน้าเพียงไม่กี่นาที ก่อนพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเคยออกมาวิจารณ์ว่ายุโรปจ่ายเงินเพื่อการป้องกันประเทศไม่เพียงพอ

*** TikTok ยังคงรอคอยคำสั่งบริหารจากสหรัฐฯ ที่จะให้เวลาเพิ่มเติมในการเจรจาข้อตกลง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาดำรงตำแหน่งผู้สหรัฐฯอีกครั้ง ในขณะที่จีนส่งสัญญาณว่าจะเปิดรับการทำธุรกรรมเพื่อรักษาแอปพลิเคชันดังกล่าวเอาไว้ในตลาดสหรัฐฯ

*** หัวหน้าฝ่ายการลงทุนของ Guggenheim Partners คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟด มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยทุก ๆ ไตรมาสในปี 2025 ซึ่งจะทำให้การปรับลดอัตราดอกเบี้ย ลดลงประมาณ 0.75% หรืออาจถึง 1% เต็มในปีนี้ โดย Anne Walsh หัวหน้าฝ่ายการลงทุนของ Guggenheim กล่าวว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะยังคงปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อไป แม้ว่าจะดำเนินการณ์ช้ากว่าที่คาดไว้ก็ตาม

*** คณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวว่า บริษัท Facebook ของ Meta, บริษัท X ของ Elon Musk, บริษัท YouTube ของ Google และบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ตกลงที่จะดำเนินการเพิ่มเติม เพื่อจัดการกับคำพูดที่แสดงความเกลียดชังทางออนไลน์ ภายใต้จรรยาบรรณการปฏิบัติฉบับปรับปรุงใหม่ ซึ่งจะถูกรวมเข้าไว้ในกฎข้อบังคับด้านเทคโนโลยีของสหภาพยุโรป

*** บริษัทสัญชาติอเมริกัน 9 ใน 10 แห่ง ที่ดำเนินธุรกิจในยุโรปเชื่อว่าความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่าง 2 ฝ่าย จะย่ำแย่ลงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยมีสาเหตุหลักมาจากนโยบายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ เช่น ภาษีศุลกากร โดยหอการค้าอเมริกันประจำสหภาพยุโรป (AmCham EU) ซึ่งมีสมาชิกมากกว่า 160 ราย รวมถึง Apple, Goldman Sachs, Meta และ Visa เปิดเผยว่า ผลการสำรวจพบว่า 2 ใน 3 ของนโยบายที่คาดว่าจะนำมาใช้ของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของพวกเขาในยุโรปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

*** สำนักข่าวเกียวโด รายงานว่า การพิจารณาคดีสำหรับคดีความที่บริษัทนิปปอนสตีลและยูเอสสตีล ยื่นฟ้องต่อรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐฯ มีกำหนดจะจัดขึ้นในเดือนก.พ.และมี.ค. โดยบริษัทผู้ผลิตเหล็กทั้ง 2 แห่งได้ยื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ 6 ม.ค. ต่อคำสั่งของไบเดน ที่ระงับแผนการซื้อกิจการยูเอสสตีลมูลค่า 1.49 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ของนิปปอนสตีล ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของประเทศ

*** เจ้าหน้าที่และประชาชนทั่วไปของจีน แสดงความคาดหวังว่า การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งผู้สหรัฐฯ จะไม่ก่อให้เกิดสงครามการค้าซ้ำรอย ซึ่งเคยสร้างความแตกแยกระหว่างชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก ในช่วงการดำรงตำแหน่งวาระแรกของทรัมป์ โดยรองประธานาธิบดีหาน เจิ้งของจีน ได้พบปะกับนายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลาและผู้บริหารระดับสูงของบริษัทธุรกิจยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ ก่อนการเข้าพิธีสาบานตนของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยหาน เจิ้ง กล่าวแสดงความคาดหวังว่าบริษัทสหรัฐฯ จะทำธุรกิจในจีนต่อไปและช่วยรักษาเสถียรภาพของความสัมพันธ์ทวิภาคี ซึ่งก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่บริษัทต่าง ๆ กำลังเร่งดำเนินการเพื่อป้องกันการโดนภาษีดังกล่าว

*** กระแสประหยัดการใช้จ่าย ที่เริ่มขึ้นในประเทศจีนในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำจากการแพร่ระบาดใหญ่ ซึ่งรุนแรงมากขึ้นท่ามกลางวิกฤตในตลาดอสังหาริมทรัพย์กำลังทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น เนื่องจากประชาชนรุ่น Gen Z ของจีน ต่างพากันหลีกเลี่ยงการเรียกร้องของรัฐบาลให้ใช้จ่ายมากขึ้น โดยหันมาออมเงินมากขึ้น ซึ่งในแอปพลิเคชัน Xiaohongshu หรือ RedNote พบว่ามีประชาชนอายุต่ำกว่า 30 ปีจำนวนมาก พากันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่าจะใช้จ่ายน้อยลงสำหรับมื้อเที่ยงที่ออฟฟิศและการซื้อสินค้าในราคาถูกได้อย่างไร

*** โกลด์แมน แซคส์ เปิดเผยว่า ตลาดทองแดงคาดการณ์ว่ามีโอกาสราว 50% ที่สหรัฐฯ จะจัดเก็บภาษีนำเข้าทองแดง 10% ภายในสิ้นไตรมาสแรกของปีนี้ โดยนักวิเคราะห์จากธนาคารเพื่อการลงทุนของสหรัฐฯ ระบุว่า การประมาณการดังกล่าวใกล้เคียงกับโอกาสที่สหรัฐฯ จัดเก็บภาษีนำเข้าทองแดง 10% ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งปัจจุบัน ราคาทองแดงอายุ 3 เดือนในตลาดโลหะลอนดอน ลดลง 0.3% เหลือ 9,167 ดอลลาร์สหรัฐต่อเมตริกตัน หลังพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 เดือนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ที่มา: สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย