BBLAM China Corner: โอกาสของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแดนมังกร

BBLAM China Corner: โอกาสของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแดนมังกร

ช่วงที่ผ่านมา เชื่อว่าคงมีหลายท่านได้เดินทางไปท่องเที่ยว หรือเห็นเพื่อนๆ และคนรู้จักเดินทางไปท่องเที่ยวจีน หลังจากที่จีน เริ่มฟรีวีซ่าระหว่างไทยกับจีน โดยศูนย์วัฒนธรรมจีน ณ กรุงเทพฯ เผยว่า ช่วงครึ่งแรกของปี 2024 จำนวนนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปจีนเพิ่มขึ้นถึง 493.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ประเทศจีนเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมประเทศหนึ่งของโลก มีชื่อเสียงในด้านการผสมผสานระหว่างประวัติศาสตร์โบราณ วัฒนธรรมที่หลากหลาย เมืองสมัยใหม่ และทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม ตั้งแต่สถานที่สำคัญที่มีชื่อเสียง เช่น กำแพงเมืองจีน พระราชวังต้องห้ามในกรุงปักกิ่ง หรือกองทัพทหารดินเผาในเมืองซีอาน ไปจนถึงสิ่งมหัศจรรย์ทางทัศนียภาพ เช่น อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย ภูเขาหวงซาน หรือซูโจว และหางโจวที่ขึ้นชื่อในเรื่องสวนและคลองที่งดงาม โดยนักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสได้ถึงประสบการณ์ที่หลากหลายในการท่องเที่ยวประเทศจีน

ข้อมูลจาก Ctrip ในปี 2023 นักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศเองถึง 4,890 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้น 93.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า นักท่องเที่ยวภายในประเทศใช้จ่ายรวมคิดเป็นเม็ดเงินสูงถึง 4.9 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้น 140.3% โดยในปีเดียวกันมีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเดินทางเข้าประเทศจีน 82.03 ล้านคน นักท่องเที่ยวต่างชาติใช้จ่ายรวม 53,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งภาพรวมในปี 2024 จะน่าจะยังเติบโตขึ้นอีก เพราะปี 2023 เป็นปีที่จีนยังเพิ่งเริ่มเปิดประเทศเท่านั้นและการเริ่ม Free Visa กับประเทศต่างๆ ยังเพิ่งเริ่มตามมาทีหลัง

อุตสาหกรรมหนึ่งซึ่งสำคัญมากสำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวก็คือ อุตสาหกรรมโรงแรม หลายๆ ท่านที่เคยเดินทางไปประเทศจีนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว คงต้องลุ้นกับมาตรฐานที่อาจจะยังไม่คงเส้นคงวานัก เพราะว่า โรงแรมของจีนนั้นยังค่อนข้างกระจัดกระจาย โดยส่วนใหญ่เป็นโรงแรมธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง ที่เป็นแบรนด์ขนาดเล็กจำนวนมาก อีกทั้งยังมีสัดส่วนเครือโรงแรมขนาดใหญ่ที่มีแบรนด์จำนวนน้อยกว่าประเทศพัฒนาแล้ว โดย ณ สิ้นปี 2015  สัดส่วนเครือโรงแรมขนาดใหญ่ที่มีแบรนด์คิดเป็นเพียง 17% ของจำนวนห้องพักทั้งหมดในจีน แต่ช่วง 5 ปีผ่านไป ณ สิ้นปี 2020 สัดส่วนนี้เติบโตขึ้นมาอย่างมาก ขึ้นมาอยู่ที่ 31.5% ซึ่งก็ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 41.9% และที่สหรัฐอเมริกาที่มีสัดส่วนถึง 72.9%

โดยคาดการณ์ว่า แม้จำนวนห้องพักในโรงแรมในจีนทั้งหมดจะเติบโตที่ CAGR ที่ 2.6% ตั้งแต่ปี 2021 ถึง 2025 แต่จำนวนห้องพักในเครือโรงแรมที่มีแบรนด์จะเพิ่มขึ้นที่ CAGR ที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ 8.8% ในช่วงเวลาเดียวกัน และอัตราส่วนทางการตลาดของเครือโรงแรมที่มีแบรนด์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อไปเป็น 42.9% ในปี 2025 เพราะจากข้อมูลของ Ctrip หลังจากการระบาดใหญ่ของ Covid มีจำนวนโรงแรมที่ปิดตัวลงในจีนสูงถึง 150,000 แห่งในปี 2020 เพียงปีเดียว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงแรมรายกลางรายเล็ก และในปี 2022 ก็ยังคงมีโรงแรมปิดตัวลง 28,930 แห่ง โดยจากข้อมูลของ Frost & Sullivan จำนวนโรงแรมทั้งหมดในจีนปี 2019  ก่อน Covid มี 548,000 แห่ง นับเป็นการปิดตัวลงไปสัดส่วนค่อนข้างมาก ซึ่งผู้ประกอบการโรงแรมรายเล็ก รายกลางหลายรายที่สามารถนำพาธุรกิจให้ผ่านมาได้ หรือผู้ประกอบการที่ปิดโรงแรมไปในช่วงของการระบาด แล้วต้องการจะกลับมาเปิดใหม่หลังสถานการณ์คลี่คลาย ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเลือกใช้บริการจ้างโรงแรมที่มีแบรนด์เข้ามาบริหารมากขึ้นเพื่อสร้างเสถียรภาพ โดยเลือกแบรนด์ชั้นนำที่มีมูลค่าแบรนด์ที่แข็งแกร่ง

หากพิจารณาจากช่องว่างของอุตสาหกรรมและความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการโรงแรมที่มีมาตรฐานมากขึ้น โรงแรม 2-3 ดาว และเมืองระดับล่างจึงกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของโรงแรมเครือข่ายที่มีแบรนด์ในการขยายสาขา โดยในปี 2015-2023 โรงแรม 1 ดาว มีสัดส่วนลดลงจาก 85.1% เป็น 71.2% ในขณะที่ โรงแรม 2-3 ดาว มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 8.4% เป็น 24.1% เลยทีเดียว โดยหลายๆ คนในอุตสาหกรรมพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า จากการที่คนบางกลุ่มมีชีวิตที่ดีขึ้น จากเศรษฐกิจที่เติบโตดีของจีนในหลายปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดความต้องการพักในโรงแรมที่มีมาตรฐานมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ตั้งแต่ปัญหาโรคระบาดกระทบมาถึงเศรฐกิจในช่วงหลัง ทำให้กลุ่มผู้บริโภคและบริษัทหลายๆ แห่ง ลดค่าใช้จ่ายที่ต้องเคยนอนโรงแรม 4-5 ดาว ลงมานอน 3-4 ดาวแทน ทำให้กลุ่มโรงแรม Segment ช่วงราคากลางๆ เติบโตเป็นอย่างมาก

อีกมุมหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ สัดส่วนของเครือโรงแรมที่มีแบรนด์ในเมืองรองยังค่อนข้างน้อย อัตราส่วนเครือโรงแรมที่มีแบรนด์ในเมืองระดับ 1 และ 2 มีสูงถึง 48% และ 41% ตามลำดับ แต่ในเมืองระดับ 3 ลงไปกลับอยู่ที่ 24% เท่านั้น ในขณะที่เมื่อพิจารณาเมืองระดับล่างบางเมืองที่ความสามารถในการจับจ่ายกำลังเพิ่มขึ้นอย่างน่าจับตามอง เมืองระดับสามหรือต่ำกว่าบางเมือง GDP เติบโตถึง 10% เมื่อเทียบ YoY ผนวกกับฐานจำนวนประชากรที่ค่อนข้างมาก โดยมีประชากรประมาณ 900 ล้านคนอาศัยอยู่ในเมืองระดับสาม หรือต่ำกว่า จึงไม่น่าแปลกใจที่โรงแรมเครือข่ายที่มีแบรนด์จะให้ความสำคัญกับตลาดนี้มากขึ้น

ดังนั้น ธุรกิจโรงแรมเครือข่ายที่มีแบรนด์ในจีน จึงเป็นอีกธุรกิจที่น่าสนใจ เนื่องจากมีรูปแบบธุรกิจที่ใช้สินทรัพย์น้อย โดยทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นของเจ้าของที่ ที่เข้าร่วมกับเครือโรงแรมรับไปบริหาร งบดุลที่แข็งแกร่ง และการจัดการที่เป็นมืออาชีพ ในทางกลับกัน โรงแรมขนาดกลางขนาดเล็กมีต้นทุนการลงทุนที่สูงและมีระยะเวลาคืนทุนที่ยาวนานกว่า มีความเป็นมืออาชีพในการจัดการที่น้อยกว่า และเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้เป็นโอกาสของโรงแรมเครือข่ายที่มีแบรนด์เข้าไปแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดได้มากขึ้นไปเรื่อยๆ

มีชัย เตชาภิประณัย

BBLAM