หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่สุดในปี 2024 ของโลกการลงทุน คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 หลังจากการแข่งขันหาเสียงที่เข้มข้นมานานหลายเดือน ระหว่าง กมลา แฮร์ริส ตัวแทนจากพรรค เดโมแครต และ โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัวแทนจากพรรค รีพับลิกัน โดยผลการเลือกตั้งที่ออกมานั้น โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะกลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง นอกจากนี้ พรรครีพับลิกันยังได้รับชัยชนะ ทั้งในวุฒิสภา (Senate) และสภาผู้แทนราษฎร (House of Representatives) โดยผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ นั้นจะเป็นรูปแบบที่เรียกว่า “Red Sweep” ซึ่งจะทำให้การดำเนินนโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้หาเสียงไว้ มีโอกาสผ่านการอนุมัติร่างกฎหมายได้มากขึ้น ซึ่งนำไปสู่นโยบายต่างประเทศแบบกีดกันทางการค้า (Protectionist) ที่เคยสร้างความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ และมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและเศรษฐกิจโลกโดยรวมมาตั้งแต่ปี 2018 รวมถึงนโยบายในประเทศแบบ Pro-Growth ที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ อันได้แก่ การลดภาษี (Tax Cut) และการลดกฎระเบียบ (Deregulation) โดยนักวิเคราะห์ทั้งหลายคาดว่า ในโลกของเศรษฐกิจและการค้าโลก ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจอาจกลับมาอีกครั้ง และส่งผลห่วงโซ่อุปทานและเศรษฐกิจโลกโดยรวม หรือที่เรียกว่า “Trump Trade War” ซึ่งหมายถึงนโยบายการค้าและเศรษฐกิจที่ โดนัลด์ ทรัมป์ อาจนำกลับมาใช้งาน นโยบายเหล่านี้มีแนวโน้มสร้างแรงกดดันต่อความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนและประเทศอื่นๆ แต่ในทางกลับกัน นโยบายดังกล่าวกลับสร้างโอกาสอันมหาศาลให้กับประเทศอย่างอินเดีย
หนึ่งในหัวใจหลักของนโยบาย โดนัลด์ ทรัมป์ คือ “America First” ที่เน้นการสนับสนุนผู้ผลิตในประเทศ ลดการพึ่งพาการนำเข้าจากจีน และผลักดันการลงทุนในประเทศที่ถือว่าเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ อย่างอินเดีย ซึ่งแนวทางนี้อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน รวมถึงประเทศอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์การค้าแนบแน่นกับจีน อาทิ รัสเซีย แต่ความขัดแย้งทางการค้าเหล่านี้กำลังสร้างแรงผลักดันให้อินเดียกลายเป็นจุดหมายใหม่ของการลงทุน เนื่องจากมีข้อได้เปรียบที่ชัดเจนดังปัจจัยต่อไปนี้
ปัจจัยแรก อินเดียเป็นประเทศกำลังที่มีประชากรมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก ปัจจุบันอินเดียมีประชากร 1.4 พันล้านคน โดยมีอายุค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 28.2 ปี ซึ่งบ่งชี้ถึงอินเดียมีโครงสร้างประชากรที่มีขนาดใหญ่กว่าและอายุน้อยกว่าประเทศอื่น ๆ ในหลายประเทศ ทั้งนี้ 68% ของประชากรอินเดียอยู่ในช่วงวัยทำงานที่มีทักษะสูงและ 25% ของประชากรในวัยทำงานของอินเดียมีการศึกษาระดับมัธยมศึกษา จำนวนปีการศึกษาเฉลี่ยของประชากรวัยทำงานในอินเดียอยู่ที่ 7.8 ปี นอกจากนี้ ค่าแรงเฉลี่ยรายเดือนในภาคการผลิตของอินเดียในปี 2023 อยู่ที่ประมาณ 196 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งต่ำกว่าค่าแรงประเทศเศรษฐกิจใหญ่อื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งการที่อินเดียมีแรงงานต้นทุนต่ำและทักษะสูง ทำให้อินเดียสามารถดึงดูดบริษัทต่างๆ เข้าลงทุนสร้างฐานการผลิตใหม่เป็นอย่างมากในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ การลงทุนของบริษัท Apple ในอินเดีย เพื่อขยายสายการผลิต iPhone ที่ต้องใช้แรงงานที่มีทักษะในการผลิต
ปัจจัยที่สอง รัฐบาลอินเดียภายใต้การนำของ นเรนทรา โมดี ในการเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 3 ได้สานต่อนโยบายส่งเสริมการลงทุนเพื่อแผนส่งเสริมการผลิตในประเทศ (Make in India) และการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) อย่างต่อเนื่อง อาทิ นโยบายการลดภาษีสำหรับภาคอุตสาหกรรมในส่วนการลดภาษีนิติบุคคลสำหรับผู้ผลิตใหม่ 15% นโยบายการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานผ่านการลงทุน ถนน ท่าเรือ และเครือข่ายไฟฟ้า เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนในงบประมาณมากกว่า 3 ล้านล้านรูปี เพื่อเชื่อมต่อพื้นที่ชนบทและเขตเศรษฐกิจใหม่ นโยบายด้านโลจิสติกส์แห่งชาติของอินเดีย (National Logistics Policy: NLP) ที่มุ่งเน้นการลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ให้อยู่ในระดับเดียวกับค่าเฉลี่ยโลก ผ่านการพัฒนาโครงการท่าเรือ Wadhavan Mega Port เพื่อมุ่งหมายให้เป็นหนึ่งในท่าเรือขนส่งสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก และพัฒนาการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ซึ่งความก้าวหน้าของอินเดียในด้านนี้ สามารถสะท้อนได้จากดัชนีประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ของธนาคารโลก (Logistics Performance Index) โดยในปี 2023 อินเดียได้เลื่อนอันดับขึ้นมาอยู่ที่ อันดับที่ 38 จากอันดับที่ 46 เมื่อปี 2012 นอกจากนี้รัฐบาลอินเดียได้การออกมาตรการสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้นและยกเลิกภาษีสำหรับนักลงทุนเริ่มต้น (Angel Tax) พร้อมทั้งขยายวงเงินสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยกับนโยบายค้ำประกันสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสนับสนุนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยที่สาม อินเดียวางตัวเป็นกลางในเวทีโลก เน้นการสร้างสมดุลระหว่างการเป็นพันธมิตรกับประเทศต่างๆ โดยอินเดียเลือกที่จะไม่เข้าร่วมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในหลายๆ ประเด็นที่มีความขัดแย้งในเวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับจีนและสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังคงมุ่งมั่นในการรักษาความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรกับหลายประเทศในภูมิภาคต่างๆ เพื่อประโยชน์ทางการค้าและความมั่นคงในหลายประเด็น จึงช่วยดึงดูดบริษัทในหลายประเทศที่กำลังต้องการย้ายฐานการผลิตเพื่อลดความพึ่งพาจีน ซึ่งก่อนหน้านี้ จีนเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของโลก แต่กำลังมีแนวโน้มได้รับการกีดกันทางการค้าที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ตั้งเป้าการจัดเก็บภาษีนำเข้าจากจีนถึงประมาณ 60% และจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง อาทิ ชิปเซมิคอนดักเตอร์และซอฟต์แวร์ต่อจีน ทำให้หลายบริษัทกำลังมองหาฐานการผลิตใหม่เพื่อลดต้นทุนและโอกาสในการพัฒนาต่อยอดธุรกิจใหม่มาสู่อินเดียที่ซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการลงทุนจากต่างชาติ (FDI)
โดยเงินลงทุน FDI ในอินเดียมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงในห่วงโซ่อุปทานโลก ในช่วงปีงบประมาณ 2024 อินเดียมี FDI ในรูปของเงินทุนใหม่ถึง 46 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแบ่งเป็นการลงทุนภาคการผลิตมากกว่า 24 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้นักวิเคราะห์คาดการณ์การไหลเข้าของ FDI จะเพิ่มขึ้นเป็น 55 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อปี ในช่วง 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ จากข้อมูลสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (United Nations Conference on Trade and Development หรือ UNCTAD) ระบุว่า อินเดียกำลังเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่ได้รับการลงทุนในการลงทุนในโครงการใหม่ (Greenfield Investment) มากที่สุด จากจำนวนโครงการที่ประกาศลงทุน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบริษัทในภาคอุตสาหกรรมในยุคใหม่ เช่น พลังงานสะอาด (พลังงานทดแทน ไฮโดรเจน) อิเล็กทรอนิกส์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำให้อินเดียกำลังกลายเป็นฐานการผลิตแห่งใหม่ของโลกที่กำลังเติบโตเป็นอย่างมาก
นโยบายการบริหารประเทศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศอื่นอาจสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจโลก แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดประตูสู่โอกาสใหม่สำหรับอินเดีย ในฐานะศูนย์กลางการผลิตและการลงทุนที่สำคัญในภูมิภาคที่กำลังมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากแนวโน้ม FDI รวมถึงอินเดียเป็นประเทศที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีมีจากการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศที่แข็งแกร่ง ผ่านแรงสนับสนุนของการบริโภคในประเทศและการลงทุนจากภาครัฐที่เข้ามาช่วยโอกาสในการเติบโตในอีกปัจจัย โดยการคาดการณ์จากนักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญทางการเงินต่างๆ ที่เผยแพร่โดย Bloomberg คาดการณ์ว่า การอัตราเติบโตของเศรษฐกิจ GDP ของอินเดียในปี 2025 และ 2026 ที่ระดับ 6.8% และ 6.6% ตามลำดับ ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตที่สูงในโลก นอกจากนี้ ค่าสัมประสิทธิ์ที่ใช้วัดความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการเติบโตของ GDP ของอินเดียกับการเปลี่ยนแปลงของอัตราการเติบโต GDP ของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก 3 ประเทศ (G3: สหรัฐฯ, ยุโรป, ญี่ปุ่น) ที่คำนวณแบบถ่วงน้ำหนัก (ค่าเบต้า) มีค่าต่ำกว่า 0.5 ซึ่งสะท้อนว่า อินเดียจะได้รับผลกระทบเมื่อเกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่น้อยกว่าประเทศอื่น หากเศรษฐกิจโลกมีความผันผวนหรือเปลี่ยนแปลง
นักลงทุนที่มองเห็นศักยภาพของอินเดียในสถานการณ์นี้ สามารถวางกลยุทธ์ที่เหมาะสม เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของเศรษฐกิจโลกที่กำลังเกิดขึ้นในการลงทุนหุ้นอินเดียที่กำลังเติบโตได้ผ่านกองทุนรวม B-BHARATA จาก BBLAM
วันภาสิริ พัฒนกิจการุณ
BBLAM