สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นปรับลดประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ลงมาอยู่ที่ 2.2% เมื่อเทียบรายปี ในไตรมาส 4/2024 ต่ำกว่าคาดการณ์เบื้องต้นที่ 2.8% เนื่องจากการบริโภคที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์และสต็อกสินค้าคงคลังที่ลดลงมากกว่าที่คาด
เศรษฐกิจญี่ปุ่นซึ่งขยายตัวในอัตราช้ากว่ารายงานในข้อมูลเบื้องต้น อาจเป็นปัจจัยเพิ่มเติมที่ทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิมในการประชุมนโยบายทางการเงินในสัปดาห์หน้า
ข้อมูลแยกต่างหาก แสดงให้เห็นว่า ครัวเรือนญี่ปุ่นใช้จ่ายน้อยกว่าที่คาดไว้ในเดือนม.ค. เนื่องจากผลกระทบของเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง ตัวเลข GDP ที่ปรับลดลงสะท้อนให้เห็นถึงจุดอ่อนในบางส่วนของเศรษฐกิจญี่ปุ่น แม้ว่าการเติบโตโดยรวมยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยการชะลอตัวของการใช้จ่ายภาคครัวเรือนอาจทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ใช้ความระมัดระวังมากขึ้นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดย BOJ มีกำหนดประชุมนโยบายทางการเงินครั้งถัดไปในวันที่ 19 มี.ค.
ทาโร่ ไซโตะ หัวหน้าฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจของ NLI Research Institute กล่าวว่า “การใช้จ่ายของผู้บริโภคน่าจะยังคงอ่อนแอในไตรมาสนี้ เนื่องจากครัวเรือนต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ” อย่างไรก็ตาม “ข้อมูลนี้เพียงอย่างเดียว อาจไม่ทำให้ BOJ เปลี่ยนมุมมองว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังดำเนินอย่างค่อยเป็นค่อยไป” ด้านนักเศรษฐศาสตร์คาดว่า BOJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนก.ค.
เช่นเดียวกับการประมาณการเบื้องต้น การขยายตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นได้รับแรงหนุนจากการค้าและการใช้จ่ายของภาคธุรกิจ ขณะที่ การบริโภคภาคเอกชนแทบไม่ขยับ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ท่ามกลางความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายภาษีของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์
ในเดือนม.ค. การใช้จ่ายภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นเพียง 0.8% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ที่ 3.7% นอกจากนี้ การบริโภคหดตัวลงเกือบตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องและค่าจ้างที่แท้จริงลดลง ทำให้ประชาชนลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น โดยรายงานค่าจ้างแสดงให้เห็นว่า แม้ค่าจ้างพื้นฐานจะปรับตัวสูงขึ้น แต่ค่าจ้างที่แท้จริงลดลง 1.8% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ชิเงรุ อิชิบะ กำลังจับตาตัวเลขอุปสงค์ภายในประเทศอย่างใกล้ชิด โดยรัฐบาลได้ดำเนินมาตรการบรรเทาราคาสินค้าหลายอย่าง รวมถึงการปล่อยสต็อกข้าวฉุกเฉินออกสู่ตลาด หลังราคาข้าวพุ่งสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มการค้าที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากทรัมป์ยังคงผลักดันนโยบายภาษีนำเข้า ขณะที่ นายฮาวเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ส่งสัญญาณว่า สหรัฐฯ จะไม่ยกเว้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม 25% ที่จะมีผลในวันพุธนี้ และทำเนียบขาวอาจกำหนดภาษีราว 25% สำหรับการนำเข้ารถยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ และเวชภัณฑ์ ตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย.เป็นต้นไป
ที่มา: บลูมเบิร์ก