Thai ESGX 3 กองทุนใหม่ 3 แบบ 3 สไตล์ จาก BBLAM เสนอขายครั้งแรก 2–8 พฤษภาคม 2568

Thai ESGX 3 กองทุนใหม่ 3 แบบ 3 สไตล์ จาก BBLAM เสนอขายครั้งแรก 2–8 พฤษภาคม 2568

Thai ESGX 3 กองทุนใหม่ 3 แบบ 3 สไตล์ จาก BBLAM

เลือกได้ตั้งแต่ Low Fee Low Beta ถึงลงทุนหุ้นเต็มที่เปิดโอกาสให้สุด

เสนอขายครั้งแรก 2–8 พฤษภาคม 2568

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด หรือ BBLAM พร้อมเสนอขายกองทุน Thai ESGX ใหม่ จำนวน 3 กองทุน ซึ่งต่างก็มีสไตล์การลงทุนแตกต่างกัน โดยเริ่มจากกองทุนแรก “BMDIV-TESGX” เป็นแบบ Low Fee Low Beta มีปันผล ลงทุนหุ้นยั่งยืนไม่เกิน 70% ที่สำคัญ หุ้นที่เลือกมีสภาพคล่องและจ่ายเงินปันผล หรือมีความเคลื่อนไหวของราคาตาม SET Index ในระดับต่ำ และเก็บค่าธรรมเนียมต่ำสุดใน 3 กองทุน  ส่วนกองทุนที่สอง “BM70-TESGX” เป็นแบบลงทุนหุ้นบริษัทเติบโต สถานะการเงินดี ไม่เกิน 70% โดยกองทุนนี้ไม่มีปันผล และกองทุนที่สาม  “BEQD-TESGX” เป็นกองทุนที่มีปันผล  มีนโยบายลงทุนหุ้นยั่งยืนเปิดกว้าง พร้อมเก็บโอกาสให้สุด  ทั้งนี้ ทั้ง 3 กองทุน เปิดขายครั้งแรก 2–8 พฤษภาคม 2568

Thai ESGX 3 กองทุนใหม่ ถือเป็นกองทุนที่มีรูปแบบการลงทุน 3 แบบ 3 สไตล์ เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่มีเป้าหมายหลักเดียวกัน คือ การลดหย่อนภาษี แต่ยอมรับความผันผวนที่เกิดจากนโยบายลงทุนที่ต่างกัน อย่าง กองทุน BMDIV-TESGX ที่มีสไตล์ลงทุนแบบ Low Fee Low Beta นั้น ก็จะเน้นลงทุนในหุ้นสภาพคล่องในการซื้อขาย ซึ่งมีการจ่ายปันผล หรือหุ้นที่มีความเคลื่อนไหวของราคาเมื่อเทียบกับ SET Index ต่ำ หรือเรียกว่า Low Beta กองนี้จะเป็นกองทุนที่มีการเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการต่ำสุดใน 3 กองทุน กองที่มีสไตล์การลงทุนแบบนี้ก็จะเหมาะกับนักลงทุนทึ่ต้องการลดความเสี่ยงจากกองทุนหุ้น

สำหรับกองทุน BM70-TESGX เป็นกองทุนผสมที่นักลงทุนคุ้นเคยกัน เพราะจะลงทุนในหุ้นไม่เกิน 70% โดยหุ้นที่ลงทุนจะเป็นของบริษัทที่มีสถานะการเงินแข็งแกร่งมีเงินปันผลสูงต่อเนื่อง ให้ความสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน และขับเคลื่อนด้วยความต้องการจากภายในประเทศ ตัวอย่างเช่น กลุ่มธนาคาร โทรคมนาคม และค่าปลีก เป็นต้น กองทุนนี้ก็ชัดเจนในนโยบายการลงทุน ดังนั้น นักลงทุนที่ลงทุนก็จะชอบโอกาสลงทุนในหุ้นที่เปิดกว้างมากกว่าสไตล์แบบแรก แต่ก็ไม่อยากรับความผันผวนจากหุ้นเต็มที่เกินไป อย่างไรก็ตาม กองทุนนี้ไม่มีจ่ายปันผล

ส่วนกองทุน BEQD-TESGX เป็นกองทุนที่มีการจ่ายปันผล และมีสไตล์ลงทุนแบบเก็บโอกาสให้สุด มีนโยบายลงทุนในหุ้นยั่งยืน โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่ต่ำกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ กองทุนนี้จึงเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการการจัดการลงทุนแบบ Active ผู้จัดการกองทุนจัดการลงทุนตามสถานกาณ์ตลาดอย่างเหมาะสม

สำหรับมุมมองของหุ้นไทย จากงานสัมมนา “ทิศทางตลาดหุ้นไทย กับ Thai ESGX” ซึ่งจัดโดย BBLAM เมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา คุณอิสระ อรดีดลเชษฐ์ Deputy Managing Director, Investment Research จาก BBLAM มองว่า ทิศทางของตลาดหุ้นไทยในปีนี้ คาดว่าจะยังมีความผันผวนตลอดทั้งปี จากประเด็นทั้งในและต่างประเทศ สำหรับประเด็นใหญ่ที่นักลงทุนจับตามอง คือ ความคืบหน้าของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และผลจากการเจรจาทั้งของประเทศไทยและประเทศคู่ค้าหลักๆ ซึ่งในช่วงสั้นๆ นั้น เราเชื่อว่า ตัวเลขบ่งชี้ทางเศรษฐกิจนั้นจะถูกบิดเบือนจากการเร่งตัวของกิจกรรมก่อนทางเศรษฐกิจ ก่อนจะหมดระยะ 90 วันที่สหรัฐฯ ต่อเวลาให้ โดยเราเห็นว่า สินค้าคงคลังในประเทศต่างๆ นั้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ ซึ่งหมายความว่า ตัวเลขทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มอ่อนแอลงในระยะถัดไป ซึ่งก็จะส่งผลให้ทิศทางเงินเฟ้อนั้นลดลงได้บ้างในบางประเทศ

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเจรจาการค้าเกิดขึ้น แต่เชื่อได้ว่า ระดับของภาษีเฉลี่ยนั้นจะสูงขึ้นกว่าในอดีต ซึ่งนำไปสู่การชะลอตัวของการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลทางตรงต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทย โดยจะเห็นว่า นักวิเคราะห์นั้นได้ปรับลดการคาดการณ์ ทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจและแนวโน้มรายได้ของบริษัทจดทะเบียนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็เป็นผลกดดันดัชนีตลาดหุ้นไทย ปัจจุบัน ดัชนี SET แกว่งตัวในระดับต่ำกว่า 1,200 จุด ซึ่งก็เป็นระดับที่สะท้อนความเสี่ยงต่างๆ ไปมากพอสมควร หากมองในมุมนี้ ก็หมายความว่า ความเสี่ยงที่ตลาดจะลงไปลึกๆ จากจุดนี้ก็มีไม่มากนัก อีกทั้งเราก็เริ่มเห็นการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย จะเป็นปัจจัยบวกกับทิศทางของตลาดได้ในระยะปานกลาง ในขณะเดียวกันภาครัฐจะมีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ ทั้งงบประจำและงบลงทุน เพื่อเป็นปัจจัยส่งเสริมการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยคาดว่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อทิศทางตลาดในระดับหนึ่ง

อย่างไรก็ดี ภายใต้ความไม่แน่นอนทางนโยบายทั้งนอกและในประเทศนั้น จะส่งผลให้ดัชนีแกว่งตัวค่อนข้างมาก โดย BBLAM มองว่า กลยุทธ์การลงทุนในระยะต่อไป ยังคงเป็นการลงทุนแบบ Selective สำหรับนักลงทุนที่เน้นการลงทุนในกองทุนนั้นกองทุน Thai ESGX ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ นอกจากการที่สามารถเริ่มลงทุนในได้ในช่วงที่ตลาดยังไม่แพงไปและมี Downside ไม่สูงมากแล้ว ก็ยังจะได้รับสิทธิในการลดหย่อนภาษีอีกด้วย 

กองทุน Thai ESGX ทั้ง 3 กองทุนนี้ เปิดขายครั้งแรกระหว่างวันที่  2– 8 พฤษภาคม 2568 สำหรับเงินลงทุนใหม่พร้อมรับสิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุดถึง 300,000 บาท และเปิดขายอีกครั้งในระหว่างวันที่ 13 พฤษภาคม–30 มิถุนายน 2568 โดยในช่วงนี้ นอกจากจะรับเงินลงทุนใหม่ด้วยแล้ว ยังจะเปิดให้สับเปลี่ยนจาก LTF เข้ามาในทั้ง 3 กองทุนนี้ได้ ซึ่งจะทำให้กลุ่มนี้ในปี 2568  ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้อีก 300,000 บาท  และปี 2569–2572 อีกปีละไม่เกิน 50,000 บาท ซึ่งถือเป็นโอกาสของผู้ถือหน่วยลงทุน LTF ที่จะได้สิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมอีก

ผู้ที่สนใจลงทุนสามารถสอบถามข้อมูลกองทุน Thai ESGX ทั้ง 3 กองทุน ได้แก่ BMDIV-TESGX, BM70-TESGX และBEQD-TESGX ได้ที่ BBLAM โทร. 02 674-6488 กด 8 หรือผู้สนับสนุนการขาย หรือรับซื้อคืนที่ได้รับการแต่งตั้ง นอกจากนี้ยังสามารถเลือกลงทุนได้ง่ายๆ ผ่าน โมบายแบงก์กิ้ง ธนาคารกรุงเทพ หรือผ่าน BF Fund Trading จาก BBLAM

การลงทุนมิใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวนเมื่อไถ่ถอน (ไม่คุ้มครองเงินต้น) /  ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า ข้อมูลสำคัญ นโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และผลกระทบกรณีผิดเงื่อนไขการลงทุนที่ระบุในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG หรือสอบถามข้อมูลและขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้แนะนำการลงทุน ก่อนการตัดสินใจลงทุน / กรณีไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี ผู้ลงทุนจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร

BBLAM

2 พฤษภาคม 2568