บรรดามหาเศรษฐีกำลังย้ายทองคำไปเก็บยังต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่สั่นคลอนตลาดทั่วโลก โดยสิงคโปร์กำลังกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของบรรดามหาเศรษฐีเหล่านี้
สถานที่กักเก็บทองคำของสิงคโปร์แห่งนี้ มีชื่อว่า “The Reserve” ตั้งอยู่ไม่ไกลจากท่าอากาศยานชางงี เป็นอาคารสูง 6 ชั้น ประดับหินโอนิกซ์และมีระบบรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนา ซึ่งด้านในมีทองคำและโลหะเงิน มูลค่าราว 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถูกเก็บไว้อย่างแน่นหนา ภายในมีห้องเก็บรักษาทรัพย์สินมีค่า แบ่งเป็นห้องนิรภัยส่วนตัวนับสิบ และห้องเก็บของขนาดใหญ่สูงถึง 3 ชั้นที่เต็มไปด้วยกล่องนิรภัยนับพันใบ
นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา มีคำสั่งฝากทองและโลหะเงินในคลังเพิ่มขึ้นถึง 88% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว ตามที่ Gregor Gregersen ผู้ก่อตั้งได้ให้ข้อมูล โดยข้อมูลจาก The Reserve ยังระบุด้วยว่า ยอดขายทองคำแท่งและโลหะเงิน มีค่าพุ่งขึ้นถึง 200% เมื่อเทียบปีต่อปี
ด้านผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม ระบุว่า การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้เกิดจากความรู้สึกไม่มั่นคงที่เพิ่มขึ้นในหมู่บรรดาเศรษฐี “ลูกค้าระดับอภิมหาเศรษฐีจำนวนมาก เริ่มกังวลเกี่ยวกับภาษี ศึกษาความเปลี่ยนแปลงของโลก และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์” พร้อมเสริมว่า “แนวคิดในการเก็บทองคำจริงไว้ในประเทศที่ปลอดภัย อย่างสิงคโปร์กับพันธมิตรที่ไว้วางใจได้ กำลังกลายเป็นเทรนด์ใหม่” ซึ่ง 90% ของคำสั่งซื้อใหม่มาจากบรรดามหาเศรษฐีต่างชาติ
ราคาทองคำพุ่งทะยานในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยทำสถิติแตะระดับสูงสุดติดต่อกันในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความผันผวนจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และการเทขายสินทรัพย์สหรัฐฯ เมื่อเดือนเม.ย.
แม้ว่า ราคาทองคำจะเริ่มปรับตัวลดลงเล็กน้อย หลังความตึงเครียดทางการค้าเริ่มคลี่คลาย แต่นักวิเคราะห์บางรายยังเชื่อว่า ราคาทองอาจพุ่งขึ้นถึง 5,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ภายในปีหน้า โดยขณะนี้ ราคาทองคำแท่งอยู่ที่ประมาณ 3,346.32 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ใกล้ระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์
ทั้งนี้ สิงคโปร์ ถูกมองว่าเป็น “นครเจนีวาแห่งตะวันออก” เพราะมีภาพลักษณ์เป็นประเทศที่มั่นคง ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังเป็นศูนย์กลางการคมนาคมที่สำคัญในภูมิภาค ซึ่งทำให้สะดวกต่อการจัดเก็บและเข้าถึงทองคำของมหาเศรษฐี
ที่มา CNBC, สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย