อินเดียมีแนวโน้มขึ้นแท่นเป็นชาติเศรษฐกิจอันดับ 4 ของโลก โดยประธานสถาบัน Niti Aayog ของอินเดีย ออกมาให้ข้อมูลดังกล่าว โดยอ้างข้อมูล IMF ที่ชี้ว่า GDP อินเดียแซงหน้าญี่ปุ่นแล้วในปี 2025 และก่อให้เกิดกระแสบนโซเชียลมีเดียในประเทศอย่างกว้างขวาง
แม้อินเดียจะมีความก้าวหน้าอย่างมากในการเติบโตของ GDP โดยเคยรั้งอันดับ 10 ของโลกเมื่อปี 2014 และยังคงเป็นชาติเศรษฐกิจใหญ่ที่เติบโตรวดเร็วที่สุด แต่การกล่าวอ้างดังกล่าว ควรได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ ซึ่งในระหว่างแถลงข่าว นาย B.V.R. Subrahmanyam ซีอีโอของ Niti Aayog หน่วยงานคลังสมองในกำกับของรัฐของอินเดีย กล่าวว่า “ขณะนี้ เราเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 4 และนี่ไม่ใช่ข้อมูลของตน แต่เป็นของ IMF” โดยอินเดียตอนนี้มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าญี่ปุ่นแล้ว พร้อมเสริมว่า “อินเดียจะขยับขึ้นมาแทนเยอรมนี เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากสหรัฐฯ และจีน ในอีกประมาณ 3 ปีข้างหน้า”
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก IMF คาดว่า เศรษฐกิจอินเดีย จะอยู่ที่ 4.187 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 ซึ่งแซงหน้าญี่ปุ่นเพียงเล็กน้อย (4.186 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) ดังนั้น แม้อินเดียยังไม่ถึงอันดับ 4 อย่างเป็นทางการ แต่ก็อยู่บนเส้นทางที่ใกล้เคียงอย่างมาก
Malcolm Dorson ผู้จัดการพอร์ตอาวุโสของ Global X ETFs หนึ่งในนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ในอินเดีย กล่าวว่า โครงสร้างประชากรขนาดใหญ่และแรงงานเยาวชนที่มีการศึกษา กำลังเพิ่มศักยภาพด้านเทคโนโลยีและบริการ พร้อมวางรากฐานสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตของโลก พร้อมกล่าวถึงแรงส่งเชิงยุทธศาสตร์จากราคาน้ำมันที่ต่ำและราคาทองคำที่สูง เป็นประโยชน์ต่ออินเดียที่ต้องนำเข้าน้ำมันถึง 80% และต่อประชาชนที่นิยมเก็บออมประมาณ 20% ไว้ในรูปแบบทองคำ
ขณะที่ Dhiraj Nim นักยุทธศาสตร์ด้านอัตราแลกเปลี่ยนและนักเศรษฐศาสตร์จาก ANZ Bank เห็นด้วย โดยกล่าวว่า อินเดียมีแนวโน้มจะกลายเป็นชาติเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 4 ภายในกลางปี หรือตอนปลายปีนี้ จากการบริโภคภายในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในชนบท โดยการบริโภคมีสัดส่วนมากกว่า 56% ของ GDP อินเดีย ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักในการเติบโต โดยในไตรมาสแรกของปี 2025 พื้นที่ชนบทมีสัดส่วนเกือบ 40% ของยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภค ขณะที่ภาคชนบท รวมถึงเกษตรกรจำนวนมาก และเมื่อสภาพอากาศเอื้ออำนวยก็จะช่วยให้ผลผลิตดีขึ้น รายได้สูงขึ้น และอำนาจซื้อดีขึ้น โดยเงินเฟ้อที่ลดลงก็ช่วยส่งเสริมการบริโภคเช่นกัน
เช่นเดียวกับการบริโภคในเมือง ที่คาดว่าจะเติบโตเช่นกัน แม้จะช้ากว่า จากการลดภาษีและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงการลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมจากธนาคารกลางอินเดีย ซึ่ง Dorson กล่าวเสริมว่า การเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียจะดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลให้หุ้นอินเดียถูกนำไปอยู่ในการซื้อขายในตลาดโลกมากขึ้น และมีเงินทุนไหลเข้ามากขึ้น
อย่างไรก็ตาม Shumita Deveshwar หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์อินเดีย จาก TS Lombard เตือนว่า แม้อินเดียกำลังก้าวขึ้นเป็นชาติเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 4 แต่ยังมี “ช่องว่างมหาศาลในด้านมาตรฐานการครองชีพ โครงสร้างพื้นฐานทางสังคม เศรษฐกิจ และกายภาพ” เมื่อเทียบกับญี่ปุ่น โดย GDP ต่อหัวของอินเดียอยู่ที่ 2,880 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ญี่ปุ่นอยู่ที่ 33,960 ดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ Deveshwar ชี้ว่า อินเดียต้องลงทุนเพิ่มในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบขนส่ง การศึกษา การพัฒนาทักษะแรงงาน และการจ้างงานเพื่อปิดช่องว่างดังกล่าว พร้อมย้ำว่า รัฐบาลควรเร่งปฏิรูปให้มีประสิทธิภาพ เพราะความล่าช้าและขาดแคลนทรัพยากร เช่น แรงงาน และโครงสร้างพื้นฐาน เป็นอุปสรรคที่ทำให้การดำเนินนโยบายล่าช้า เช่น กฎหมายแรงงานและปฏิรูปการเกษตร
ที่มา CNBC , สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย