ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch) สถาบันจัดอันดับเครดิตระดับโลก ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ไว้ที่ระดับ “AA+” โดยให้เหตุผลว่า ปัจจัยเชิงบวกยังอยู่ที่ขนาดเศรษฐกิจใหญ่และมีรายได้สูง รวมถึงความยืดหยุ่นด้านการเงินจากบทบาทของดอลลาร์สหรัฐ ในฐานะสกุลเงินสำรองหลักของโลก แต่ยังคงแสดงความกังวลต่อระดับหนี้สาธารณะที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ฟิทช์ ระบุว่า การขาดดุลงบประมาณการคลังในระดับสูงและหนี้รัฐบาลที่เพิ่มขึ้น ยังคงกดดันอันดับเครดิตของสหรัฐฯ แม้ว่ารายได้จากมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะช่วยลดการขาดดุลได้ในปีนี้ก็ตาม โดยระบุว่า “สหรัฐฯ ยังไม่ได้ดำเนินการที่มีนัยสำคัญ เพื่อลดการขาดดุลการคลังที่สูง หนี้สินที่เพิ่มขึ้น หรือการใช้จ่ายที่พุ่งขึ้นจากปัญหาสังคมสูงวัย”
ก่อนหน้านี้ ในปี 2023 ฟิทช์ เคยปรับลดอันดับเครดิตสหรัฐฯ ลงหนึ่งขั้นจากระดับสูงสุด AAA โดยให้เหตุผลถึงแนวโน้มการคลังที่แย่ลงและปัญหาการเจรจาขยายเพดานหนี้ที่ยืดเยื้อ ขณะที่ ในปีนี้ Moody’s อีกหนึ่งสถาบันจัดอันดับ ก็ปรับลดอันดับเครดิตของสหรัฐฯ ลงเช่นกัน ทำให้สหรัฐฯ สูญเสียอันดับเครดิต AAA จากทุกสำนัก อย่างไรก็ตาม บทบาทของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่ยังครองสัดส่วน 58% ของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศทั่วโลก ยังคงเป็นปัจจัยหนุนศักยภาพการกู้ยืมของรัฐบาลสหรัฐฯ โดย ฟิทช์ เชื่อว่าดอลลาร์สหรัฐ จะยังคงมีบทบาทในระบบการค้าและการเงินโลก แม้เผชิญความไม่แน่นอนด้านนโยบาย
ฟิทช์ คาดว่าการขาดดุลของรัฐบาลทั่วไป จะลดลงมาอยู่ที่ 6.9% ของจีดีพีในปี 2025 จากระดับ 7.7% ในปี 2024 โดยได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่ง ตลาดหุ้นที่สดใส และรายได้จากภาษีศุลกากรที่พุ่งสูง ซึ่งสถาบันจัดอันดับประเมินว่า รายได้จากภาษีศุลกากรจะกระโดดขึ้นแตะ 250,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ จาก 77,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024
อย่างไรก็ตาม ฟิทช์ คาดว่า หนี้สาธารณะจะเร่งตัวขึ้นในระยะกลาง โดยสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีจะเพิ่มจาก 114.5% ณ สิ้นปีที่แล้ว เป็น 127% ภายในปี 2027 “แบบจำลองหนี้ของฟิทช์ แสดงให้เห็นว่า แนวโน้มหนี้ที่ยังคงเป็นขาขึ้นได้เพิ่มความเปราะบาง หากเกิดแรงกระแทกทางเศรษฐกิจในอนาคต”
ทั้งนี้ แม้จะมีความกังวลดังกล่าว แต่ฟิทช์ ยังคงมุมมองความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ ซึ่งการประกาศครั้งนี้ สอดคล้องกับ S&P Global ที่ยืนยันอันดับ “AA+” ของสหรัฐฯ เช่นกัน โดยชี้ว่ารายได้ภาษีจากมาตรการของทรัมป์ อาจช่วยชดเชยภาระทางการคลังจากการลดภาษีและเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาลได้
ที่มา Reuters, สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย