กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) และพันธมิตร หรือ OPEC+ มีมติเห็นชอบให้เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันออกสู่ตลาดเพิ่มเติม หลังจากที่ระงับไปก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นการตอกย้ำยุทธศาสตร์การรักษาส่วนแบ่งตลาด แทนกลยุทธ์เดิมที่เน้นการหนุนราคาน้ำมัน
ในการประชุมรายเดือนผ่านระบบออนไลน์ ชาติสมาชิกแกนนำมีมติเห็นชอบให้ทยอยเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอีก 137,000 บาร์เรลต่อวัน โดยเริ่มมีผลตั้งแต่เดือนต.ค.เป็นต้นไป โดยปริมาณดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของโควตาการผลิต 1.65 ล้านบาร์เรลต่อวัน ที่เดิมทีตั้งใจจะระงับจนถึงสิ้นปีหน้า โดย OPEC+ ได้สร้างความประหลาดใจให้ตลาดในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ด้วยการคืนกำลังการผลิต 2.2 ล้านบาร์เรลก่อนกำหนด 1 ปีเต็ม เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด แม้คาดการณ์ว่าจะเกิดภาวะน้ำมันล้นตลาดก็ตาม โดยการคืนกำลังการผลิตรอบดังกล่าว เพิ่งเสร็จสิ้นและไม่ได้กดดันให้ราคาน้ำมันร่วงหรือทำให้สต็อกในฝั่งชาติตะวันตกพุ่งสูง
แถลงการณ์ของ OPEC+ ระบุว่า กลุ่มจะทยอยคืนกำลังการผลิต 1.65 ล้านบาร์เรลบางส่วน หรือทั้งหมด โดยไม่ได้กำหนดช่วงเวลาแน่นอน แต่จะพิจารณาตามสภาพตลาด และพร้อมชะลอ หรือยกเลิกหากจำเป็น ขณะที่ ผู้แทนเผยเป็นการภายในว่า การคืนกำลังการผลิตจะทยอยดำเนินการเป็นรายเดือนจนถึงก.ย.ปีหน้า ซึ่งการประชุมครั้งถัดไปจะมีขึ้นในวันที่ 5 ต.ค.นี้
นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงแล้วราว 12% จากแรงกดดันด้านอุปทานที่เพิ่มขึ้นทั้งจาก OPEC+ และประเทศนอกกลุ่ม รวมถึงผลกระทบจากสงครามการค้าของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อย่างไรก็ดี ตลาดยังคงแข็งแกร่งกว่าที่คาด ทำให้ซาอุดีอาระเบียและพันธมิตร มีความมั่นใจมากขึ้นในการคืนปริมาณน้ำมัน โดยหนึ่งในผู้แทนกล่าวว่า ทางกลุ่มหวังว่า การเพิ่มปริมาณน้ำมันในตลาดจะชดเชยรายได้ที่ลดลงจากราคาที่อ่อนตัวลง ซึ่งถือเป็นการหันหลังให้ยุทธศาสตร์เดิมของ OPEC+ นับตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน
การเพิ่มกำลังการผลิตดังกล่าว ย่อมเป็นผลดีต่อประธานาธิบดี ทรัมป์ ซึ่งต้องการให้ราคาน้ำมันลดลงเพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อ และใช้เป็นเครื่องมือกดดันรัสเซียให้ยุติสงครามกับยูเครน โดยมกุฎราชกุมาร โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ของซาอุดีอาระเบีย มีกำหนดเยือนวอชิงตันในเดือนพ.ย. เพื่อเข้าพบประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ปริมาณน้ำมันจริงที่เข้าสู่ตลาด อาจน้อยกว่าที่ประกาศไว้ เนื่องจากบางประเทศต้องชดเชยการผลิตเกินโควตาในอดีต ขณะที่ บางประเทศไม่มีศักยภาพเพิ่มการผลิต ซึ่งประเด็นที่ต้องจับตาต่อไป คือ กำลังการผลิตสำรองของแต่ละประเทศสมาชิก โดยประเทศที่ไม่สามารถเพิ่มการผลิตได้จะเสียเปรียบจากโควตาที่เพิ่มขึ้น และยังต้องเผชิญแรงกดดันจากราคาที่ต่ำลง
ทั้งนี้ การตัดสินใจดังกล่าว เกิดขึ้นท่ามกลางคำเตือนว่า ตลาดน้ำมันกำลังเข้าสู่ภาวะอุปทานล้นตลาด หลังสิ้นสุดฤดูกาลท่องเที่ยวฤดูร้อนในซีกโลกเหนือ โดยสำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดการณ์ว่า แนวโน้มตลาดในปีหน้าจะเกิดภาวะน้ำมันล้นตลาดครั้งใหญ่จากความต้องการในจีนที่อ่อนแรง และการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากทวีปอเมริกา ตั้งแต่สหรัฐฯ แคนาดา บราซิล และกายอานา ขณะที่ โกลด์แมนแซคส์ประเมินว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์อาจร่วงไปแตะระดับ 50 ดอลลาร์สหรัฐต้น ๆ ในปี 2026
ที่มา: Bloomberg, สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย