
รัฐบาลสหรัฐฯ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจต้องคืนรายได้จากการจัดเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariffs) เป็นจำนวนหลายแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หากศาลสูงสหรัฐฯ เห็นพ้องกับคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ที่ชี้ว่าภาษีนำเข้าหลายรายการที่บังคับใช้นั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
สก็อตต์ เบสเซนท์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เตือนต่อศาลสูงสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า มูลค่าการคืนภาษีอาจสูงถึง 750,000 ล้าน ไปจนถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตัวเลขดังกล่าวครอบคลุมทั้งรายได้ภาษีที่กรมศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ เก็บไปแล้วกว่า 72,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่วัน Liberation Day ที่ทรัมป์ประกาศ จนถึงข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 24 ส.ค. รวมถึงรายได้จากภาษีที่ยังคาดว่า จะจัดเก็บได้จนถึง มิ.ย. ปีหน้า
เบสเซนท์ ชี้ว่า “การย้อนคืนภาษีเหล่านี้ อาจสร้างความปั่นป่วนอย่างหนัก” พร้อมย้ำว่า รัฐบาลทรัมป์ต้องการให้ศาลสูงเร่งตัดสินโดยเร็ว ไม่รอไปถึงช่วงซัมเมอร์ปีหน้า เพราะหากตัดสินเร็ว ความเสี่ยงที่รัฐบาลจะต้องคืนเงินจำนวนมากก็จะลดลง แม้ในอดีตสหรัฐฯ เคยมีกรณีคืนภาษี เช่น กรณีรัฐบาลไบเดน ที่เปิดให้ผู้นำเข้าสินค้าบางชนิดจากจีนสามารถขอคืนภาษี ตามมาตรา 301 ได้ในปี 2022 แต่ครั้งนั้นเป็นวงเงินจำกัด ขณะที่ กรณีปัจจุบันถือว่ามีขนาดใหญ่กว่าหลายเท่า
อย่างไรก็ตาม เบสเซนท์ แสดงความมั่นใจว่า รัฐบาลทรัมป์จะสามารถพลิกคำตัดสินของศาลชั้นต้นได้ แต่ยอมรับว่า หากศาลสูงสุดชี้ว่า ต้องคืนจริง เราก็ต้องทำ ซึ่งเขามองว่า เป็นผลลัพธ์ที่เลวร้าย
ก่อนหน้านี้ ศาลชั้นต้น 2 แห่ง ได้ตัดสินว่า ประธานาธิบดี ทรัมป์ ใช้อำนาจประธานาธิบดีเกินขอบเขต จากการอ้างถึงกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) เพื่อเก็บภาษีจากประเทศคู่ค้าเกือบทั้งหมด ซึ่งในคำร้องต่อศาลสูง D. John Sauer ทนายความของรัฐบาล ระบุว่า “การเดิมพันในคดีนี้สูงมาก สำหรับประธานาธิบดีและที่ปรึกษาอาวุโส ภาษีเหล่านี้ คือ ความแตกต่างระหว่างการเป็นประเทศมั่งคั่ง หรือยากจน” พร้อมอ้างคำกล่าวของทรัมป์ว่า หากสหรัฐฯ ต้องคืนเงินจำนวนมหาศาล เศรษฐกิจอาจพังทลายในทันทีจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด
ทั้งนี้ นักกฎหมายด้านการค้าระหว่างประเทศ มองว่า การที่รัฐบาลทรัมป์ยื่นคำร้องเร็วกว่ากำหนดปกติ อาจเพิ่มโอกาสที่ศาลสูงจะมีคำตัดสินได้ภายในสิ้นปีนี้
ที่มา: CNBC, สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย