
รัฐบาลจีน ประกาศแผนเพิ่มสัดส่วนการบริโภคในระบบเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ ภายในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยยังคงให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและภาคการผลิตเป็นอันดับต้นๆ เพื่อปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้พึ่งพาการส่งออกน้อยลง หลังเผชิญการยกระดับมาตรการกีดกันทางการค้าอย่างรุนแรงในปี 2025
คำประกาศดังกล่าวปรากฏในเอกสารนโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งหารือในการประชุมที่กรุงปักกิ่ง เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยระบุว่า จีนจะสร้างรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยอุปสงค์ภายในประเทศ และการบริโภคเป็นพลังขับเคลื่อนหลัก ซึ่งถ้อยแถลงนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่เพิ่มขึ้นของผู้กำหนดนโยบายจีน ในการกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนกว่า 1.4 พันล้านคน ท่ามกลางแรงกดดันจากประเทศต่างๆ ที่เริ่มดำเนินมาตรการปกป้องตลาดในประเทศตนเองจากสินค้าราคาถูกของจีนที่หลั่งไหลเข้าสู่ตลาดโลก
แลร์รี ฮู (Larry Hu) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนของ Macquarie Group กล่าวว่า ประเด็นการเพิ่มสัดส่วนการบริโภค ถือเป็นไฮไลต์สำคัญของเอกสารฉบับนี้ แม้จะยังไม่ได้หมายถึงการออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคขนาดใหญ่ในทันที แต่แสดงให้เห็นถึงการยกระดับความสำคัญของการบริโภคในโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาว ขณะที่ นักเศรษฐศาสตร์ทั้งในและนอกประเทศ ต่างเรียกร้องให้รัฐบาลจีน กำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณ สำหรับสัดส่วนการบริโภคภาคครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ราว 40% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 56% และห่างจากระดับเฉลี่ยเกือบ 60% ของประเทศรายได้สูง ตามข้อมูลของธนาคารโลก
เอกสารดังกล่าวระบุว่า รัฐบาลจะเพิ่มการใช้จ่ายด้านบริการสาธารณะและส่งเสริมการจ้างงาน โดยถือเป็นแนวทางหลักของแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปีฉบับใหม่ที่จะเริ่มในปี 2026 พร้อมกันนี้จะคงการเติบโตของการลงทุนให้อยู่ในระดับเหมาะสมเพื่อหนุนอุปสงค์ภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม การเพิ่มสัดส่วนการบริโภคถือเป็นโจทย์ที่ยาก เนื่องจากโครงสร้างภาษีและแรงจูงใจด้านสินเชื่อของธนาคารยังเอื้อต่อการผลิตมากกว่า ขณะที่ นโยบายส่งเสริมการพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยี ก็ยังคงดึงทรัพยากรเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม
เมื่อเทียบกับช่วง 5 ปีก่อน จีนแสดงท่าทีผ่อนคลายมากขึ้นในเรื่องการพัฒนาภาคการผลิต โดยเปลี่ยนถ้อยคำในเอกสารจากคงสัดส่วนภาคการผลิตให้มีเสถียรภาพ ในปี 2020 มาเป็นรักษาสัดส่วนภาคการผลิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมในครั้งนี้ นอกจากนี้ รัฐบาลยังระบุว่า จะเดินหน้าการลงทุนในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่มีสัญลักษณ์เชิงยุทธศาสตร์ เพื่อหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวเป็นเวทีวางกรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม 5 ปี ฉบับต่อไป โดยมีประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เป็นผู้นำการร่างแผนและกล่าวอธิบายแนวทางต่อที่ประชุมในกรุงปักกิ่ง โดย สี จิ้นผิง กล่าวว่า จีนจำเป็นต้องเร่งสร้างวงจรเศรษฐกิจภายในประเทศที่ทรงพลัง เพื่อใช้ความมั่นคงภายในมารองรับความไม่แน่นอนจากภายนอก โดยแผนพัฒนาเศรษฐกิจ 5 ปีฉบับเต็ม จะได้รับการอนุมัติและเผยแพร่อย่างเป็นทางการในเดือนมี.ค. ระหว่างการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ
ที่มา Bloomberg, สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
