ข้อมูลจาก Challenger, Gray & Christmas Inc บริษัทจัดหางานและให้คำปรึกษาด้านการปรับโครงสร้างองค์กร ระบุว่า บริษัทในสหรัฐฯ ประกาศแผนปลดพนักงานรวม 153,074 ตำแหน่งในเดือนต.ค. ที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่มาจากภาคเทคโนโลยีและคลังสินค้า ซึ่งกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาใช้ในกระบวนการทำงาน รวมถึงความพยายามลดต้นทุนและชะลอการจ้างงานใหม่ของหลายบริษัท
ตัวเลขดังกล่าว เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และถือเป็นจำนวนการปลดพนักงานในเดือนต.ค. ที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2003 ซึ่งในขณะนั้น การถือกำเนิดของโทรศัพท์มือถือ ก็ส่งผลกระทบต่อแรงงานในหลายภาคส่วนเช่นกัน โดยแอนดี แชลเลนเจอร์ (Andy Challenger) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายรายได้ของบริษัท ระบุว่า “บางอุตสาหกรรมกำลังปรับตัว หลังการจ้างงานเกินตัวในช่วงโควิด-19 แต่ในขณะเดียวกัน การนำ AI มาใช้ การใช้จ่ายของผู้บริโภคและภาคธุรกิจที่ชะลอตัว และต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ต่างผลักดันให้เกิดการรัดเข็มขัดและการหยุดจ้างงานใหม่” พร้อมเสริมว่า “ผู้ที่ถูกปลดในตอนนี้กำลังหางานใหม่ได้ยากขึ้น ซึ่งอาจยิ่งทำให้ตลาดแรงงานอ่อนแรงลง”
เมื่อพิจารณาตลอดปี พบว่า ตัวเลขการปลดพนักงานสะสม ทะลุ 1 ล้านตำแหน่งแล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงการระบาดใหญ่ ขณะเดียวกัน บริษัทในสหรัฐฯ ประกาศแผนการจ้างงานใหม่น้อยที่สุด นับตั้งแต่ปี 2011 และแผนจ้างงานตามฤดูกาลถึงเดือนต.ค. ก็อยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2012 “อาจมีแรงหนุนบางส่วนจากการลดดอกเบี้ยและการจ้างงานที่ดีขึ้นในเดือนพ.ย. แต่โดยรวมเรายังไม่คาดหวังการจ้างงานตามฤดูกาลที่แข็งแกร่งในปี 2025”
ในบรรดาบริษัทที่ประกาศปลดพนักงาน ประกอบด้วย Target Corp. จะลดตำแหน่ง 1,800 ตำแหน่ง หรือราว 8% ของพนักงานสายองค์กร ซึ่งเป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ครั้งแรกในรอบหลายปี ขณะที่ Amazon.com จะปลดพนักงานสายองค์กร 14,000 ตำแหน่ง หลังผู้บริหารเตือนว่า AI จะทำให้จำนวนแรงงานลดลง และParamount Skydance Corp. ปลดพนักงาน 1,000 ตำแหน่ง
นอกจากนี้ยังมี Starbucks, Delta Air Lines, CarMax, Rivian Automotive และ Molson Coors Beverage ซึ่งรายหลังปลดพนักงานประจำประมาณ 9% โดยสาเหตุของการปลดพนักงาน แตกต่างกันไปในแต่ละบริษัท โดย United Parcel Service (UPS) เปิดเผยว่า ได้ลดพนักงานฝ่ายปฏิบัติการ เช่น คนขับรถและพนักงานขนส่งสินค้า 34,000 คน ซึ่งสูงกว่าที่คาดไว้ถึง 70% เนื่องจากมีการนำระบบอัตโนมัติมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
ขณะที่ หลายบริษัทมุ่งลดชั้นการบริหารและแก้ไขผลพวงจากการจ้างงานเกินความต้องการในช่วงโควิด-19 เพื่อปกป้องอัตรากำไรจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีศุลกากร โดยแม้ต้นทุนสินค้าจะสูงขึ้น แต่บริษัทจำนวนมาก เลือกจะไม่ผลักภาระให้ผู้บริโภค และหันมาลดค่าใช้จ่ายด้านแรงงานแทน ซึ่งการประกาศปลดพนักงานที่เพิ่มขึ้น อาจสร้างความกังวลต่อภาวะตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ขณะที่ผู้ว่างงานรายใหม่กำลังเผชิญโอกาสการจ้างงานที่ลดลง
ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าว สวนทางกับมุมมองของ เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลาง สหรัฐฯ (เฟด) ที่ประเมินว่า ตลาดแรงงานยังอยู่ในภาวะชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ที่มา Bloomberg, สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

