ออเดอร์วันคนโสด JD.com พุ่ง 60% YoY ทำสถิติสูงสุด สวนทางเงินฝืดจีน

ออเดอร์วันคนโสด JD.com พุ่ง 60% YoY ทำสถิติสูงสุด สวนทางเงินฝืดจีน

JD.com หนึ่งในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของจีน เปิดเผยว่า ยอดคำสั่งซื้อในช่วงเทศกาลช้อปปิ้งออนไลน์ “วันคนโสด” (Singles’ Day) ปีนี้ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สวนทางกับความกังวลว่า ภาวะเงินฝืดที่ยังคงยืดเยื้ออาจฉุดรั้งการใช้จ่ายของผู้บริโภคในชาติเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก

บริษัทระบุว่า จำนวนคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นเกือบ 60% จากปีก่อน ขณะที่ จำนวนผู้ซื้อเพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ที่เพิ่มขึ้นราว 20% อย่างไรก็ตาม JD.com ไม่ได้เปิดเผยมูลค่าสินค้ารวม (GMV) แต่อย่างใด

บรรดานักลงทุนทั่วโลกต่างพากันให้ความสนใจข้อมูลยอดขายช่วงวันคนโสดเป็นพิเศษ เนื่องจากเทศกาลนี้มีขนาดใหญ่กว่า ทั้ง “Cyber Monday” และ “Black Friday” ของสหรัฐฯ และมักสะท้อนแนวโน้มการบริโภคภายในประเทศจีน ขณะที่ คู่แข่งรายใหญ่อย่าง Alibaba Group Holding ยังไม่ได้เปิดเผยตัวเลขยอดขายของปีนี้ เช่นเดียวกับปีก่อนที่ทั้ง 2 บริษัทไม่ได้รายงานมูลค่าการซื้อขายรวม

นีโอ หวัง (Neo Wang) หัวหน้านักวิเคราะห์เศรษฐกิจจีนของ Evercore ISI ระบุว่า “JD.com ยังคงเป็นผู้นำในตลาดออนไลน์ของจีนอย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะในหมวดสินค้า ‘3C’ ได้แก่ คอมพิวเตอร์ การสื่อสาร และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่รัฐบาลให้เงินอุดหนุนการบริโภคอยู่ในขณะนี้” พร้อมเสริมว่า ผู้บริโภคอาจเร่งซื้อสินค้า เพื่อใช้สิทธิ์ก่อนที่มาตรการอุดหนุนจะหมดอายุในวันที่ 31 ธ.ค.

นอกจากนี้ ยอดขายของ JD.com ที่เพิ่มขึ้น อาจได้รับแรงหนุนจากการขยายตลาดต่างประเทศ โดยบริษัทระบุว่า จำนวนคำสั่งซื้อและธุรกรรมในต่างประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 100% จากปีก่อนในประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย และออสเตรเลีย อีกทั้งยังมียอดขาย เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า ใน 13 ตลาดต่างประเทศที่บริษัทให้บริการจัดส่งฟรี

ด้าน Xiaomi Corp. เปิดเผยว่า ยอดชำระเงินรวมสำหรับสินค้าของบริษัทในช่วงวันคนโสดแตะ 29,000 ล้านหยวน (ประมาณ 4,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)

ยอดขายที่พุ่งขึ้นครั้งนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางสัญญาณเศรษฐกิจที่ผันผวน โดยในเดือนต.ค. ราคาผู้บริโภคของจีน ปรับตัวเพิ่มขึ้นชั่วคราวจากแรงหนุนของการเดินทางและการบริโภคช่วงวันหยุด อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า การฟื้นตัวของราคาในเดือนดังกล่าวอาจเป็นเพียงชั่วคราว เนื่องจากภาวะเงินฝืดยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญ ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่าย เพิ่มภาระหนี้สินและลดอัตรากำไรของภาคธุรกิจ โดยจีนเผชิญแรงกดดันเงินฝืดต่อเนื่อง ซึ่งดัชนีราคาผู้บริโภคปรับตัวลดลงในเดือนส.ค. และก.ย. ขณะที่ GDP Deflator ซึ่งเป็นมาตรวัดราคาครอบคลุมที่สุดของประเทศ อยู่ในภาวะติดลบต่อเนื่องมากกว่า 2 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีข้อมูลรายไตรมาสในปี 1993

ที่มา: Bloomberg, สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย