การลงทุนกองทุนหุ้นไทย บริหารตามแนวคิด 2 ด้าน คือ
- Top-down Approach เป็นการหา Investment Theme โดยเน้นมุมมองในระยะยาว โดยประเมินภาพรวมเศรษฐกิจและรายอุตสาหกรรมว่ามีโอกาสและศักยภาพในการเติบโตอย่างไร และเลือกกลุ่มธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มขาขึ้น แล้วจึงเฟ้นหาหุ้นที่มีโอกาสจาก Theme ดังกล่าว
- Bottom-up Approach เพื่อค้นหาบริษัทที่จะเข้าลงทุนที่มีมูลค่าพื้นฐานต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง หรือหุ้นที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนรวมที่สูงสุด โดยให้ความสำคัญในการพิจารณาโมเดลธุรกิจ ความสามารถในการทำกำไรของสินทรัพย์ต่อเนื่อง มีความแข็งแรงของงบดุล ความรู้ความสามารถของผู้บริหาร และประสบการณ์ด้านการบริหาร เป็นต้น โดยพิจารณาทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ
กองทุนบัวหลวงสร้างพอร์ตลงทุนให้แต่ละกองทุนฯ ด้วยกระบวนการคิดวิเคราะห์และคัดสรร (Thinking and selection process) พร้อมทั้งมีทีมเวิร์คที่ดี ช่วยกันหาไอเดียใหม่และแบ่งปันแนวคิดร่วมกัน รวมถึงทบทวนข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนั้น เรายังมี Element of LUCK (Labour Under Correct Knowledge) หรือทำงานภายใต้ความรู้ที่ถูกต้องอีกด้วย
Market Overview : พ.ค. 2018
- ตลาดหุ้นในเดือน พ.ค. ให้ผลตอบแทนตลอดเดือนติดลบ นำโดยกลุ่มพลังงาน จากปัจจัยราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลงแรง หลังประเทศซาอุดิอาระเบียและรัสเซียมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน เพื่อรองรับปริมาณการผลิตที่ลดลงของประเทศอิหร่าน และเวเนซุเอลาจากประเด็นการคว่ำบาตรของสหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังมีความกังวลที่รัฐบาลมีมาตราการตรึงราคาน้ำมันดีเซลและแอลพีจีในประเทศ โดยรวมแล้ว valuation ของหุ้นค่อนข้างตึงตัว โดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็กถึงกลาง เนื่องจากงบไตรมาสที่ 1 ออกมาไม่โดดเด่นมากพอที่จะเป็นปัจจัย
ให้ราคาปรับตัวขึ้น ส่วนกลุ่มสื่อสารยังมีความไม่แน่นอนจากการประมูลคลื่น 1800 เมกกะเฮิร์ตที่จะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ - นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องอีกกว่า 42,625 ล้านบาทในเดือน พ.ค. สูงเป็นอันดับสองในประเทศอาเซียนรองจากมาเลเซีย อย่างไรก็ตาม ทิศทางการไหลออกของเม็ดเงินนักลงทุนต่างชาติ เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นในภูมิภาค (ยกเว้นเวียดนามที่มีการขายหุ้นไอพีโอขนาดใหญ่ ทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามเป็นตลาดเดียวที่มีนักลงทุนต่างชาติซื้อ
มุมมองตลาดหุ้นไทย
ราคาหุ้นไม่ได้ตอบรับต่อประเด็นเชิงบวก แม้มีปัจจัยอื่นในประเทศที่น่าสนใจ ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีในช่วงไตรมาสที่ 1 ขยายตัว +4.8% YoY สูงที่สุดในรอบ 20 ไตรมาส เนื่องจากตัวเลขที่ประกาศออกมานั้นถูกผลักดันจากบางภาคส่วนเท่านั้น ซึ่งอาจจะไม่ได้สะท้อนสภาวะเศรษฐกิจทั้งประเทศ ส่วนหนึ่งเห็นได้จากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนฯ ในไตรมาสที่ 1 โดยภาพรวมแล้ว ตลาดหุ้นยังไม่มีแรงขับเคลื่อนที่มีน้ำหนักมากพอ รวมถึงราคาน้ำมันดิบที่ยังคงผันผวน เราคิดว่าตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มผันผวนไปอีกระยะหนึ่ง การเลือกลงทุนหุ้นเป็นรายตัวให้กับกองทุนจึงมีความสำคัญมากในระยะนี้
ปัจจัยทั้งบวก/ลบต่อกองทุน
(+) ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยกฎหมายที่มาของ ส.ส.ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้เกิดความชัดเจนขึ้นว่าจะมีการเลือกตั้งในช่วงต้นปี 2019
(+) ธปท. แถลงตัวเลขเศรษฐกิจไทย ในเดือน เม.ย. 2018 ขยายตัวดีโดยมีแรงขับเคลื่อนจากการส่งออกที่ขยายตัวสูง สอดคล้องกับการขยายตัวของอุปสงค์ต่างประเทศและราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก การบริโภคภาคเอกชน การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวสอดคล้องกัน ด้านการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวจากการลงทุนในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์
(+) ช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 คาดว่าการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจไทย จะมีเม็ดเงินสะพัดในธุรกิจอาหารเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทาน (Ready-To-Eat) และบริการจัดส่งอาหาร (Food Delivery) จะได้รับอานิสงส์ไปด้วย
(+/-) นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นในตลาดหุ้นเอเชียติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 ในเดือน พ.ค. โดยขายราว 4 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ต่างชาติเทขายหุ้นเอเชียในปีนี้รวมแล้วกว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์
(+/-) ตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงเทขายจากนักลงทุนต่างชาติ 1.6 พันล้านดอลลาร์ในเดือนที่แล้ว (ขาย 5.2 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้) ซึ่งถือเป็นตลาดที่ต่างชาติเทขายหนักที่สุดในเอเชีย ตามมาด้วยอินเดีย และไต้หวัน แต่ด้วยแรงกดดันที่ต่างชาติจะเทขายหุ้นไทยต่อไปจะมีไม่มากนัก เนื่องจากขณะนี้นักลงทุนต่างชาติถือครองหุ้นไทยในสัดส่วนเพียง 30.1% ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี
(+/-) การประสานความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้เกิดความมั่นคงภายหลังจากที่การประชุมสุดยอดครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐและนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือปิดฉากลงด้วยดีพร้อมด้วยการลงนามในเอกสารสำคัญร่วมกัน ช่วยส่งผลบวกต่อบรรยากาศการลงทุนมากขึ้น
(-) ความตึงเครียดของการประชุม G7 ที่ยังไม่สามารถตกลงเรื่องการค้าระหว่างกันได้
(-) ติดตามต่างชาติขายหุ้นเอเชีย ได้แก่ การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ส่งสัญญาณยุติการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และการดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในสหรัฐ
(-) ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนยังคงเป็นปัจจัยลบต่อตลาด
กลยุทธ์การลงทุนของกองทุน
การลงทุนในหุ้นจะเน้นบริษัทคุณภาพที่มีรูปแบบธุรกิจที่เข้มแข็ง มีศักยภาพเติบโตได้ต่อเนื่อง มีฐานะการเงิน แข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดสูง และมีแนวโน้มการจ่ายปันผลดีอย่างสม่ำเสมอ โดยผู้จัดการกองทุนได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นในช่วงที่ตลาดผันผวนและราคาหุ้นของบริษัทที่มีคุณภาพดีลดต่ำลงกว่าราคาที่ควรจะเป็น รวมถึงได้ลดสถานะการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ราคาหุ้นขึ้นมามากกว่าราคาที่ควรจะเป็น และ/หรือแนวโน้มของอุตสาหกรรมหรือบริษัทอาจแย่ลงในอนาคต เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ธนาคาร พลังงาน โดยเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในอุตสาหกรรมพาณิชย์ การแพทย์ อาหาร/เครื่องดื่ม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นกว่าไตรมาสก่อนหน้า
ทั้งนี้ การเพิ่มหรือลดน้ำหนักการลงทุนในหมวดอุตสาหกรรมหรือรายบริษัท จะขึ้นอยู่กับกรอบนโยบายการลงทุนของกองทุนนั้นๆ ด้วย
ผลการดำเนินงานและความผันผวนของผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 30 เม.ย. 2018