Taro Kono รัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่น ประกาศเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาว่า ญี่ปุ่นเตรียมจัดเจรจาระดับสูงในเดือนพฤศจิกายน เพื่อ “ส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าภายใต้กรอบการค้าเสรีและความร่วมมือด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ” ขึ้นในระหว่างประเทศที่มีอาณาบริเวณติดต่อหรือเชื่อมโยงกับทะเลจีนใต้, มหาสมุทรอินเดีย และเลยไปไกลจนถึงทวีปแอฟริกา
นอกจากญี่ปุ่นที่เป็นตัวตั้งตัวตีแล้ว ประเทศที่ได้รับเชิญล้วนเป็นยักษ์ใหญ่ในเอเชีย ได้แก่ อินเดีย ออสเตรเลีย และแน่นอนว่ามีสหรัฐฯด้วย
Kono ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า มีการส่งข้อเสนอให้ “ประเทศนอกภูมิภาค” อย่างฝรั่งเศสและอังกฤษ เข้าร่วมในการก่อตั้งกลุ่มความร่วมมือดังกล่าว ในฐานะ “ประเทศผู้ให้ความร่วมมือ”
Kono ให้เหตุผลถึงการดำเนินการครั้งนี้ว่า “เราอยู่ในยุคซึ่งญี่ปุ่นจำเป็นต้องแสดงบทบาททางการทูตระหว่างประเทศ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ขนาดใหญ่ที่วางเอาไว้ หากทะเลจีนใต้เปิดกว้างและมีเสรีสำหรับทุกคน ผลประโยชน์ย่อมตกอยู่กับทุกประเทศ รวมทั้งจีน และแผนงานโอบีโออาร์ของจีน”
ตั้งแต่ปี 2015 เมื่อจีนเมินเฉยต่อเสียงเรียกร้องและการประท้วงของนานาชาติ ในการส่งกำลังเข้าไปในเกาะแก่งหลายแห่งในทะเลจีนใต้ แสดงตนเป็นเจ้าของและพัฒนาสิ่งปลูกสร้างทางทหารขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประเทศที่ร่วมอ้างสิทธิเหนือดินแดนเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, มาเลเซีย และบรูไน ต่างยื่นประท้วง ในขณะที่แวดวงประชาคมนานาชาติออกมาประณามการยึดครองฝ่ายเดียว
หลายฝ่าย โดยเฉพาะญี่ปุ่นกังวลมากว่า วิธีการทำนองเดียวกันนี้ของจีนอาจนำมาใช้ในอีกหลาย ๆ ที่หลาย ๆ แห่งทั่วภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เพื่อให้ได้ “ตามความต้องการ” ของตนเอง
รองศาสตราจารย์ด้านการต่างประเทศ และผู้เชี่ยวชาญด้านกลาโหมจากมหาวิทยาลัยไดโตะ บันกา ของญี่ปุ่น มั่นใจว่า ออสเตรเลียกับอินเดียจะสนใจและเข้าร่วมในความคิดริเริ่มของญี่ปุ่นครั้งนี้
เพราะทั้งสองประเทศก็วิตกกับการรุกคืบของจีนไม่น้อยไปกว่าญี่ปุ่น ทางการออสเตรเลียอึดอัดใจไม่น้อยที่บริษัทของจีน สามารถทำความตกลง “เช่า” ท่าเรือแห่งหนึ่งในดาร์วิน ทางตอนเหนือของประเทศที่ถือเป็นท่าเรือยุทธศาสตร์สำคัญ ขณะที่อินเดียก็กำลังจับตามองการลงทุนของจีนที่เพิ่มมากขึ้นในศรีลังกา ถึงขนาดก่อสร้างท่าเรือใหม่ให้ทั้งหมด และกลายเป็นจุดแวะเยือนของเรือรบจากกองทัพเรือจีนไปแล้ว