Fund Comment ภาพรวมตลาดหุ้น ก.ค. 2018

Fund Comment ภาพรวมตลาดหุ้น ก.ค. 2018

ภาพรวมตลาดหุ้น

ภาพรวมผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยในเดือน ก.ค. พลิกกลับมาให้อัตราผลตอบแทนเป็นบวกร้อยละ 6.65 ต่างกับเดือน มิ.ย. ที่ให้ผลตอบแทนติดลบร้อยละ 7.61 นำโดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์ปรับตัวขึ้นจากผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ที่ดีกว่าตลาดคาด ประกอบกับตัวเลข NPL ที่ดีขึ้น โดยธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่สามารถควบคุมต้นทุนได้ดี ชดเชยการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียม ส่วนราคาของหุ้นในกลุ่มสื่อสารฟื้นตัว จากประเด็นที่กสทช.ประกาศปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ที่ผ่อนปรนกับผู้ประกอบการ ทำให้ราคาประมูลตั้งต้นลดลง และลดแรงกดดันในการตั้งราคาประมูลของผู้ประกอบการ ในขณะที่กลุ่มพลังงาน มีปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันดิบและค่าการกลั่นที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น

เม็ดเงินลงทุนต่างชาติในตลาดอาเซียนไหลออกอย่างต่อเนื่องมาตลอด 3 เดือนก่อนหน้า แม้ว่าเริ่มเห็นการกลับมาของเม็ดเงินลงทุนต่างชาติในช่วงปลายเดือน ก.ค. แต่ระยะเวลาในการกลับมาของเม็ดเงินลงทุนยังมีความไม่แน่นอนว่าจะกลับมาอย่างต่อเนื่องหรือเป็นเพียงช่วงสั้น เนื่องจากปัจจัยเรื่องสถานการณ์สงครามการค้าอาจกลับมากดดันตลาดหุ้นได้ใหม่

ประเด็นเรื่องสงครามการค้าเริ่มเห็นการตอบโต้กันระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนมากขึ้น สหรัฐอเมริกาออกมาเพิ่มภาษีจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 25 บนสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่ารวม 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐในช่วงเดือน ก.ย. นี้ ส่วนจีนตอบโต้ด้วยมาตรการการตั้งภาษีร้อยละ 5-25 บนสินค้านำเข้าจากสหรัฐอเมริกามูลค่ารวม 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เป็นต้น อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนในไทยยังประเมินได้ยาก เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนในข้อสรุปของข้อตกลงการกีดกันการค้าครั้งนี้

นอกจากนี้ แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่ประกาศออกมาจะยังคงขยายตัวได้ในระดับกลาง แต่เนื่องจากตัวเลขที่ประกาศออกมานั้นถูกผลักดันจากบางภาคส่วนเท่านั้น ไม่ได้สะท้อนปัจจัยเชิงบวกต่อหุ้นทุกตัว เพราะผลประกอบการไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว ประเด็นสงครามการค้ายังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตาดู เนื่องจากสหรัฐอเมริกาจะเริ่มขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็นรอบที่ 2 ในช่วงกลางเดือน ส.ค.นี้ และกระบวนการรับฟังความเห็นจากสาธารณะต่อประเด็นการเก็บภาษีนำเข้าร้อยละ 25 จากสินค้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐจะสิ้นสุดในปลายเดือน ส.ค. ทำให้ยังคงมีความเสี่ยงที่กดดันตลาดได้อีก แต่ผลประกอบการที่กำลังทยอยประกาศจะเป็นปัจจัยสำคัญที่น่าจะมีผลตัดสินแนวโน้มของทิศทางตลาด

อย่างไรก็ตาม เรามองว่า หากมีการย่อตัวลงก็เป็นโอกาสในการคัดสรรหุ้นรายตัวที่มีแนวโน้มผลประกอบการที่ดีในช่วงระยะกลางถึงยาว และการหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีโอกาสได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าเป็นการจำกัดความเสี่ยงของการลงทุนในระยะนี้