จัดพอร์ตกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ออกแบบได้สไตล์คุณ!
โดย พริ้มพัชร จิรบวรพงศา AFPTTM
ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนทางการเงิน
BF Knowledge Center
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือ Provident Fund คือ กองทุนที่นายจ้างและลูกจ้างร่วมกันจัดตั้งขึ้น (คณะกรรมการกองทุนฯ) โดยเงินของกองทุนมาจาก “เงินที่ลูกจ้างจ่าย เรียกว่า เงินสะสม” และ “เงินที่นายจ้างจ่าย เรียกว่า เงินสมทบ” เงินทั้งสองส่วนนี้จะถูกนำไปบริหารจัดการก่อให้เกิดผลประโยชน์จากเงินสะสมและผลประโยชน์จากเงินสมทบ ซึ่งผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นมาจากนโยบายการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั่นเอง
นโยบายการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หากไม่เป็นแบบคณะกรรมการกองทุนฯ เลือกให้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นลงทุนในกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำไว้ก่อน เนื่องจากเกรงว่าลูกจ้างบางส่วนอาจไม่มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องความเสี่ยงและการลงทุน แต่หากปัจจุบันมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้นก็อาจรวมตัวกันแจ้งความประสงค์กับคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าจะปรับไปเป็นแบบ Employee Choice ได้ไหม? คือเปิดโอกาสให้ลูกจ้างเลือกนโยบายการลงทุนได้ด้วยตัวเอง
สำหรับ บริษัทที่เปิดให้เลือกนโยบายลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Employee Choice) ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมาก เพราะทำให้สามารถจัดพอร์ตลงทุนผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้ โดยอย่างแรกที่ควรทำก่อน คือ ศึกษานโยบายการลงทุนแต่ละกองทุนที่มีให้เลือก จากนั้นให้พิจารณาตัวเองว่า รับความเสี่ยงได้แค่ไหน? ต้องการผลตอบแทนประมาณเท่าไร?
เพราะหากต้องการได้ผลตอบแทนสูง แต่เลือกลงทุนในนโยบายตราสารหนี้อย่างเดียวเพราะกลัวความเสี่ยง ก็ไม่มีทางที่พอร์ตการลงทุนจะเป็นจริงได้ตามตั้งใจ จำไว้ว่า High Risk High (Expected) Return หากคาดหวังโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนสูง ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่สูงขึ้นตามไปด้วย
หากนโยบายลงทุนสอดคล้องกับความต้องการ ลำดับถัดมาที่อยากให้พิจารณาคือ สามารถเพิ่มสัดส่วนการส่งเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพได้หรือไม่? เพราะตามปกติแล้ว บริษัทมักจะกำหนดสัดส่วนการส่งเงินสะสมของพนักงานไว้ตามอายุการทำงาน โดยบริษัทจะส่งเงินสมทบในสัดส่วนที่เท่ากัน แต่ปัจจุบัน พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เปิดให้ลูกจ้างสามารถส่งเงินสะสมได้ในสัดส่วนที่มากกว่านายจ้าง แต่ต้องเป็นไปตามข้อบังคับกองทุนคือ ไม่ต่ำกว่า 2% และสูงสุดไม่เกิน 15% ซึ่งหากไม่ลำบากเกินไปนักก็อยากแนะนำให้เพิ่มสัดส่วนเงินสะสมให้มากขึ้น
ยกตัวอย่าง เราเริ่มต้นทำงานเมื่ออายุ 25 ปี เกษียณอายุ 55 ปี เท่ากับมีระยะทำงาน 30 ปี เงินเดือน 20,000 บาท ปรับขึ้น 5% ต่อปี ส่งเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 3% ของเงินเดือน บริษัทสมทบให้ 3% เท่ากัน ผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 5% ณ วันที่เกษียณจะมีเงิน 2 ล้านบาท แต่หากเพิ่มสัดส่วนเงินสะสมจาก 3% เป็น 5% โดยปัจจัยทุกอย่างเหมือนเดิม เงินจะเติบโตเป็น 2.60 ล้านบาท และหากเพิ่มสัดส่วนเงินสะสมเป็น 10% เงินจะเติบโตเป็น 4.35 ล้านบาท
จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นว่า เพียงแค่เพิ่มเงินสะสมในส่วนของตัวเองก็สามารถทำให้เงินเติบโตได้มากขึ้น และหากยอมรับความเสี่ยงได้และลองปรับพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสเพิ่มผลตอบแทน เช่น หุ้น จากผลตอบแทนรวมของพอร์ตเดิม 5% เป็น 8% ควบคู่ไปกับการเพิ่มสัดส่วนเงินสะสมในแต่ละเดือนเป็น 10% จะทำให้เงินลงทุนนี้เติบโตเป็น 7.16 ล้านบาท
การจัดพอร์ตลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สามารถทำได้ไม่ยาก หากบริษัทเปิดให้ลูกจ้างมีทางเลือกในการลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย ส่วนตัวเราก็มีหน้าที่ปรับสมดุลในตัวเอง ระหว่างความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ต้องการได้รับ เพื่อหาความพอดีให้กับพอร์ตการลงทุนของตัวเอง แต่ก็เชื่อว่าหลายคนยังกล้าๆ กลัวๆ อยู่ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี?
ขอเล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไทยได้เสนอ “นโยบายการลงทุนแบบสมดุลตามอายุ (Life Path)” เพราะแม้ว่าปัจจุบันจะเปิดให้ลูกจ้างเลือกนโยบายลงทุนได้ด้วยตัวเอง (Employee Choice) แต่กลับพบว่าสมาชิกส่วนหนึ่งเลือกนโยบายการลงทุนที่ไม่เหมาะสมคือ เลือกลงทุนในนโยบายที่มีความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนต่ำ ซึ่งไม่สอดคล้องกับระยะเวลาลงทุนที่ยาวนาน หรือ เลือกตามเพื่อน ตามหัวหน้า ส่งผลให้มีเงินไม่พอใช้ในวัยเกษียณ รวมถึงไม่สอดคล้องกับความต้องการของตัวเอง จึงได้คิดนโยบายการลงทุนแบบสมดุลตามช่วงอายุขึ้นมา
หลักการคือ ความเสี่ยงของพอร์ตจะเป็นไปตามช่วงอายุ กล่าวคือ อายุน้อยพอร์ตการลงทุนจะเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง และลดความเสี่ยงลงตามช่วงอายุมากขึ้น จากตัวอย่างเดิมที่กล่าวมาตลอดคือ เริ่มต้นทำงานเมื่ออายุ 25 ปี เกษียณอายุ 55 ปี เท่ากับมีระยะทำงาน 30 ปี เงินเดือน 20,000 บาท ปรับขึ้น 5% ต่อปี ส่งเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 3% ของเงินเดือน บริษัทสมทบให้ 3% เท่ากัน
- หากลงทุน 20 ปีแรก ผลตอบแทน 10%
- 5 ปีถัดมาลดความเสี่ยงผลตอบแทน 6%
- 5 ปีสุดท้ายผลตอบแทน 3%
เบ็ดเสร็จแล้วได้รับเงินหลังเกษียณ 2.73 ล้านบาท มากกว่าการเอาเงินไปลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทน 2-3% เพียงอย่างเดียว ประมาณล้านกว่าบาท
ดังนั้น การจัดพอร์ตลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ นับเป็นทางเลือกที่ดีในการบริหารเงินลงทุนเพื่อวัยเกษียณ จะเห็นได้ว่า ความสำเร็จของการลงทุนผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั่นคือ วินัยในการลงทุน ความรู้เรื่องการการลงทุน ซึ่งรู้มากรู้น้อยไม่เป็นไรเพราะทุกคนสามารถเพิ่มเติมความรู้และจัดสรรให้เหมาะสมกับตัวเองได้ ที่สำคัญก็คือ เริ่มต้นลงมือทำกันตั้งแต่เนิ่นๆ วันนี้ รับรองว่าแฮปปี้ในวัยเกษียณแน่นอน