ไชน่าเดลี รายงานว่า สหรัฐจัดทำงบประมาณขาดดุลเพิ่มเป็น 779,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีงบประมาณ 2018 ซึ่งสิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย. ที่ผ่านมา สูงสุดในรอบ 6 ปี นับตั้งแต่ปี 2012 อ้างอิงจากรายงานของกรมธนารักษ์สหรัฐ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐใช้จ่ายเงินเพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบกับปีงบประมาณก่อนหน้านั้น ขณะที่รายรับของรัฐบาลเพิ่มขึ้น 0.4% โดยงบประมาณขาดดุลนั้น คิดเป็นสัดส่วน 3.9% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณก่อนหน้าซึ่งมีสัดส่วน 3.5%
นักวิเคราะห์ระบุว่า การบริหารงานของรัฐบาลทรัมป์ที่ลดภาษีและเพิ่มการใช้จ่ายของภาครัฐเป็นส่วนที่ทำให้งบประมาณขาดดุลเพิ่มขึ้นในรัฐบาลทรัมป์ที่อยู่เต็มปีงบประมาณเป็นปีแรก
ทางด้าน สำนักงบประมาณรัฐสภาสหรัฐ (CBO) ได้ออกมาเตือนว่า การจัดทำงบประมาณขาดดุลที่เพิ่มขึ้นจะทำให้หนี้สาธารณะของสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วใน 30 ปีข้างหน้า หากกฎหมายปัจจุบันยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
CBO ยังระบุอีกว่า หนี้สาธารณะน่าจะอยู่ที่ 100% ของจีดีพีสหรัฐภายในสิ้นทศวรรษหน้า และ 152% ของจีดีพีในปี 2048 ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ
“ประธานาธิบดีต้องระวังอย่างมากต่อความเป็นจริงเกี่ยวกับหนี้สาธารณะของประเทศที่เกิดขึ้น เพราะภาพทางการเงินที่ออกมานี้ เป็นสัญญาณเตือนไปยังสภาคองเกรสถึงผลกระทบร้ายแรงของการใช้จ่ายอย่างขาดความรับผิดชอบและไม่จำเป็น” Mick Mulvaney ผู้อำนวยการ สำนักบริหารและงบประมาณของทำเนียบขาว กล่าว