ล้านแรกมีได้ไม่ต้องพึ่งดวง
โดย…พริ้มพัชร จิรบวรพงศา AFPTTM
ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนทางการเงิน
BF Knowledge Center
เมื่อกล่าวถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ เชื่อว่าส่วนใหญ่มีความฝันที่จะมี “เงินล้าน” แต่จนแล้วจนรอดก็ยังคงเป็นแค่ความฝันที่ไม่เป็นจริงเสียที ยิ่งเวลาผ่านไปก็เริ่มรู้สึกว่า “เราคงทำไม่ได้” พอคิดว่าทำไม่ได้ก็ยิ่งไม่มีกำลังใจที่จะลงมือทำ และเมื่อไม่ลงมือทำ ความฝันที่จะมีเงินล้านก็ยิ่งห่างไกลมากขึ้น
ความฝันที่จะมีเงินล้านเป็น “เป้าหมายทางการเงิน” อย่างหนึ่ง โดยเงินล้านเป็นตัวแทนของความสุขและความสำเร็จในหลายๆ ด้าน ทั้งในเรื่องหน้าที่การงาน ความมุมานะอดทน ความมีวินัยทางการเงิน ฯลฯ ซึ่งส่งเสริมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แม้การมีเงินล้านไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด แต่ก็ไม่ยากเกินไปที่จะลงมือทำให้เกิดขึ้น โดยอย่างแรกที่ต้องลงมือทำคือ “กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน” คำว่าชัดเจนในที่นี้หมายถึง เราต้องการมีเงินล้านแรกนี้ภายในระยะเวลากี่ปี? เพราะการทราบระยะเวลาจะทำให้สามารถคำนวณได้ว่าต้องออม/สะสมต่อเดือนเท่าไร? ผลตอบแทนควรได้รับกี่เปอร์เซนต์ต่อปี? รวมถึงทำให้ทราบว่า เป้าหมายของเราจะสามารถเป็นจริงได้หรือไม่?
การวางแผนทางการเงินเพื่อเปลี่ยนเงินน้อยให้เป็นเงินล้าน สำหรับผู้เริ่มต้นล้านแรกอาจต้องอดทนเพิ่มขึ้นสักนิด (เพื่อพิชิตเงินล้าน) เพราะคนที่ประสบความสำเร็จทางการเงินส่วนใหญ่ ในช่วงเริ่มต้นต่างก็เคยผ่านช่วงเวลาแบบนี้ด้วยกันมาแล้วทั้งนั้น โดยเส้นทางสู่เงินล้านของแต่ละคนก็มีความแตกต่างกัน แต่มีหลักการที่ใช้เป็นแนวทางในการลงมือทำเงินล้านแบบไม่ต้องพึ่งดวงที่เหมือนๆ กัน คือ มีวินัย – ใฝ่เรียนรู้ – มุ่งสู่เป้าหมาย
มีวินัย
จากคำบอกเล่าของผู้ที่ประสบความสำเร็จทางการเงิน 99.99% (เผื่อไว้ 0.01% สำหรับผู้ที่มีบุญเก่าหนาแน่น) กล่าวว่า “การวินัยในตัวเองช่วยให้ประสบความสำเร็จทางการเงิน” โดยวินัยจะเกิดขึ้นได้ถ้าเรามองเห็นเป้าหมายที่ชัดเจน ส่งผลมีแรงบันดาลใจและกำลังใจในการที่จะนำพาตัวเองไปสู่เป้าหมายนั้น การมีวินัยในตัวเองคือ การควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมของตัวเอง โดยมองเห็นคุณค่าของเป้าหมายที่ตั้งไว้ ถึงแม้จะมีอุปสรรคเข้ามาบ้างก็ยังมุ่งมั่นไม่เปลี่ยนแปลง และเชื่อมั่นในผลดีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
การมีวินัยทางการเงิน ควรเริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย โดยเลือกใช้จ่ายสิ่งของที่มีความจำเป็น (Need) เป็นอันดับแรก และพยายามลดการใช้จ่ายสิ่งของที่ไม่จำเป็น (Want) ออกไปจะทำให้เหลือเงินออม/ลงทุนมากขึ้น เมื่อปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายแล้ว ลำดับถัดมาคือ สร้างวินัยในการออม/ลงทุน ที่มีจำนวนเงินสม่ำเสมอเท่าๆ กันทุกเดือน (หรือมากกว่า) เพราะความสม่ำเสมอนี้จะช่วยให้สามารถบรรลุเป้าหมายได้ตามที่กำหนด (หรือเร็วกว่ากำหนดได้ถ้าเพิ่มจำนวนเงินในแต่ละเดือน) โดยการมีวินัยทางการเงินนี้สามารถเริ่มต้นลงมือทำได้ทันทีไม่ต้องรอ เพราะด้วยปัจจัยการออม/ลงทุนที่เหมือนกัน คนเริ่มต้นเร็วจะใช้เงินน้อยกว่าคนเริ่มต้นช้าเสมอ สมมติว่ามีเป้าหมายเงินล้านแรกเมื่ออายุ 35 ปี เก็บออมโดยไม่ลงทุนเลย การจัดสรรเพื่อการออมในแต่ละเดือนก็จะไม่เท่ากัน
- เริ่มต้นอายุ 20 ปี ระยะเวลาออม 15 ปี (180 เดือน) ออมเดือนละ 5,555 บาท
- เริ่มต้นอายุ 25 ปี ระยะเวลาออม 10 ปี (120 เดือน) ออมเดือนละ 8,333 บาท
- เริ่มต้นอายุ 30 ปี ระยะเวลาออม 5 ปี (60 เดือน) ออมเดือนละ 16,666 บาท
อุปสรรคของวินัยทางการเงินคือ “เหตุการณ์เฉพาะหน้าที่จำเป็นต้องใช้เงิน” เช่น ค่ารักษา พยาบาล การศึกษาต่อระดับที่สูงขึ้น โอกาสในการซื้อสินค้าที่มีราคาถูกในช่วงเวลานั้นๆ หากเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นก็ไม่ต้องคิดมาก (เพราะใครๆ ก็เคยเจอ) สิ่งที่ควรทำคือ “ตั้งสติ” และพยายามออม/ลงทุนเพิ่มเติมเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่สูญเสียไประหว่างทาง
ใฝ่เรียนรู้
การมีวินัยเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนให้เป้าหมาย “ล้านแรกเป็นจริงได้” ส่วนการ เรียนรู้ช่วยเพิ่มโอกาส เพิ่มทางเลือก ในการสร้างผลตอบแทนให้สูงขึ้นกว่าการออมในบัญชีออมทรัพย์เฉยๆ ทำให้เราสามารถเข้าใกล้เป้าหมายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยการเรียนรู้ที่อยากแนะนำก็คือ “การลงทุน”
การลงทุน คือ การมุ่งหวังที่จะได้รับผลตอบแทนจำนวนหนึ่งในอนาคต จากการที่จ่ายเงินสดจำนวนหนึ่งในปัจจุบัน โดยเชื่อว่า ผลตอบแทนหรือเงินส่วนเพิ่มที่จะได้รับคืนในอนาคตจะสามารถชดเชยระยะเวลา อัตราเงินเฟ้อ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างคุ้มค่า ดังนั้น ในการตัดสินใจนำเงินออมมาลงทุน จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ในสิ่งที่ลงทุน หาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ศึกษาทำความเข้าใจ ทั้งในแง่ของความเสี่ยงและโอกาสในการลงทุน ผลตอบแทนที่คาดหวังจะให้เกิดรวมถึงผลตอบแทนที่คาดหวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นด้วย
การมีความรู้จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการลงทุนที่ถูกต้อง คือ มีภาวะจิตใจที่มั่นคง มองเห็นโอกาส สามารถคิดวิเคราะห์ แยกแยะสถานการณ์ สามารถตัดสินใจได้ดี แต่หากขาดความรู้ความเข้าใจในการลงทุนจะทำให้เป็นข้อจำกัดอย่างมาก เพราะสิ่งที่ทำให้การลงทุนมีความเสี่ยงมากที่สุด คือ การลงทุนในสิ่งที่ตัวเองไม่มีความรู้ความเข้าใจนั่นเอง
การลงทุนนอกจากจะทำให้เข้าใกล้เป้าหมายได้เร็วขึ้นแล้ว ในอีกมุมหนึ่งก็เปรียบเสมือนเป็นเครื่องมือทุ่นแรงให้คนที่มีความสามารถในการจัดสรรเงินเพื่อเป้าหมายในแต่ละเดือนได้ไม่มากนัก ในที่นี้ขอยกตัวอย่าง
กรณีแรก “ทำให้เข้าใกล้เป้าหมายได้เร็วขึ้น” สมมติว่าเริ่มต้นออมอย่างเดียวไม่ลงทุนเลยเมื่ออายุ 20 ปี ต้องการมีเงินล้านแรกอายุ 35 ปี เท่ากับมีระยะเวลาออม 15 ปี จะต้องออมเดือนละ 5,555 บาท แต่หากเรานำเงินจำนวน 5,555 บาท มาลงทุนทุกเดือนที่ผลตอบแทน 5% ต่อปี เราจะมีล้านแรกในอีก 11 ปีนิดๆ เร็วกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้ 4 ปี
กรณีสอง “ช่วยทุ่นแรง” สมมติว่าเรายังคงต้องการล้านแรก แต่สามารถจัดสรรเงินแต่ละเดือนได้เพียง 3,000 บาท หากไม่ลงทุนจะต้องใช้เวลาออมเงินถึง 27 ปี แต่หากเราต้องการคงไว้ซึ่งเป้าหมายล้านแรกภายใน 15 ปี ก็สามารถทำได้โดยนำเงิน 3,000 บาทนี้ไปลงทุนผลตอบแทน 7.58% ต่อปี
สำหรับการหาผลตอบแทน 5% – 7% ตามตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้น สามารถทำได้หลายวิธี แต่ต้องเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้นกว่าการฝากเงินหรือตราสารหนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยการลงทุนนี้อาจต้องมีหุ้น อสังหาฯ หรือสินทรัพย์การลงทุนทางเลือกเพิ่มเติมเข้ามาด้วย ซึ่งเราสามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์นั้นด้วยตัวเองหรืออาจเลือกลงทุนผ่านกองทุนรวม เพราะแม้ว่าการลงทุนจะทำให้เงินเติบโตแต่ไม่ใช่ทุกคนที่ถนัดเรื่องการลงทุน ดังนั้น เราควรใช้เวลาของเราทำงานที่ถนัดเพื่อสร้างเม็ดเงิน ส่วนเรื่องของการลงทุนก็อาจให้ผู้จัดการกองทุนบริหารให้ เพราะเขามีความถนัดในเรื่องการลงทุนมากกว่าเรา อีกทั้งปัจจุบันกองทุนรวมส่วนใหญ่ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นไม่มาก 500 บาท ก็สามารถลงทุนได้แล้ว
มุ่งสู่เป้าหมาย
การมีเงินล้านไม่มีเส้นทางสำเร็จรูป ระหว่างทางก็มีอุปสรรคที่แตกต่างกันไป โดยการมีวินัยเป็นหัวใจสำคัญ ตามมาด้วยการเรียนรู้เพื่อให้ลงทุนได้อย่างถูกต้อง มั่นใจ แต่ทุกอย่างจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่ลงมือทำตามเป้าหมาย ทั้งนี้ การมุ่งสู่เป้าหมายนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงด้วย โดยเฉพาะเรื่องความเสี่ยงและผลตอบแทนจากการลงทุน ซึ่งส่วนใหญ่มีความฝันว่า จะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยๆ แต่ได้รับผลตอบแทนสูงๆ แต่ในความเป็นจริงคือ หากต้องการได้รับผลตอบแทนสูง ต้องรับความเสี่ยงจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นด้วย ยกตัวอย่าง
หากต้องเดินทางไปจุดหมายหนึ่งด้วยทางเลือก 3 พาหนะ คือ มอเตอร์ไซค์ – รถยนต์ – รถเมล์ แน่นอนว่าทั้ง 3 พาหนะสามารถพาเราไปถึงที่หมายได้ หากพิจารณาในด้านความเร็ว มอเตอร์ไซค์ น่าจะพาเราไปถึงจุดหมายได้รวดเร็วที่สุด รองมาคือ รถยนต์ รถเมล์ แต่หากพูดถึงความปลอดภัย มอเตอร์ไซค์ ก็ดูว่าน่าจะอันตรายที่สุด ในขณะที่รถเมล์แม้จะถึงจุดหมายปลายทางช้าแต่ก็ปลอดภัยมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับมอเตอร์ไซค์
การลงทุนก็เช่นเดียวกันกล่าวคือ มอเตอร์ไซค์เปรียบเหมือนการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงสามารถพาเราไปถึงเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะบาดเจ็บจากการขาดทุนได้มากกว่า ส่วนรถเมล์เปรียบเหมือนการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ พาเราไปถึงที่หมายได้ช้าแต่มีความเสี่ยงที่จะบาดเจ็บจากการขาดทุนได้น้อย
อย่างไรก็ตาม การลงทุนไม่ได้คำนึงถึงเฉพาะความเสี่ยงเพียงมุมเดียว แต่ยังต้องคำนึงถึงระยะเวลาที่จะบรรลุเป้าหมายด้วย จึงจำเป็นต้องสร้างความสมดุลระหว่าง ความเสี่ยง ผลตอบแทน และระยะเวลาในการลงทุน เพื่อให้ก้าวไปสู่เป้าหมายล้านแรกได้อย่างมั่นใจและไม่ต้องพึ่งดวง Stop dreaming, Start doing.