กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลเฮลธ์แคร์ (BCARE) กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลเฮลธ์แคร์เพื่อการเลี้ยงชีพ (BCARERMF)

กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลเฮลธ์แคร์ (BCARE) กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลเฮลธ์แคร์เพื่อการเลี้ยงชีพ (BCARERMF)

สรุปภาวะตลาดและความเคลื่อนไหวของบริษัทในกลุ่มโกลบอลเฮลธ์แคร์

ดัชนี MSCI World Healthcare NET ในปีนี้ให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งปี +5.70% YTD ณ สิ้นเดือน ต.ค. ดัชนี MSCI World Healthcare Net เคยทำผลตอบแทนได้สูงถึง +13.20% (YTD) ช่วงต้นเดือน ต.ค. แต่เผชิญแรงเทขายตลอดทั้งเดือน ต.ค. กับบริษัทในกลุ่มยาไบโอเทคขนาดกลางและเล็ก บริษัทกลุ่มนี้ได้รับผลพวงจากแรงเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ เพราะตลาดมองว่าอยู่ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคฟุ่มเฟือย หุ้นมีค่าเบต้าสูงกว่าตลาด มีความผันผวนสูง

ขณะที่บริษัทเฮลธ์แคร์ในกลุ่มเทคโนโลยีการแพทย์ และกลุ่มผู้ให้บริการทางการแพทย์ สร้างผลตอบแทนดีโดยเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 35% เนื่องจากแนวโน้มของชาวอเมริกันซึ่งเข้าถึงสวัสดิการสูงขึ้น ยิ่งไปกว่านี้ ผลเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ วันที่ 6 พ.ย. ที่พรรคเดโมแครตได้เสียงเพิ่มขึ้น จึงมีผลออกมาในเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์เพราะตลาดมองว่าโอกาสที่ทรัมป์จะออกกฎระเบียบใหม่มาปฏิปักษ์กับบริษัทในกลุ่มเฮลธ์แคร์กระทำได้ยากกว่าเดิม

ครึ่งปีหลัง ทีมงานผลิตภัณฑ์กองทุนบัวหลวง พบว่า มีกระแสเงินทุน (ETF inflow) ไหลเข้าหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ในสหรัฐฯ กว่า 7 พันล้านดอลลาร์ซึ่งสูงว่าหุ้นกลุ่มอื่น อาทิ ธนาคาร พลังงาน สาธารณูปโภค บริษัทจดทะเบียนในกลุ่มโกลบอลเฮลธ์แคร์ประกาศกำไรสุทธิรอบ 9 เดือน ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ที่พบได้ชัด คือ ผู้ผลิตยาขนาดใหญ่ ในอดีตบริษัทกลุ่มนี้เคยมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิต่อหุ้นที่เพียง 2-5% ต่อปี แต่ปัจจุบันกลับมีกำไรสุทธิสูงขึ้นเพราะเขาปรับลดต้นทุน ปรับปรุงการดำเนินธุรกิจแบบใหม่ ลดจำนวนพนักงาน หันมาลงทุนในตัวยาใหม่ๆ

บริษัทที่ว่านี้ได้แก่บริษัท Eli Lilly Company เป็นกลุ่มผู้ผลิตยาสัญชาติสหรัฐฯ ที่ได้ปรับลดจำนวนพนักงานทั่วโลกไปแล้ว 3,500 ตำาแหน่ง เฉพาะในสหรัฐฯ บริษัทลดจำนวนพนักงานลง 2,000 ตำแหน่ง บริษัท Eli Lilly Company
จึงประหยัดค่าใช้จ่ายในปีรอบปีบัญชีนี้ได้ 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

แนวโน้มธุรกิจย่อยของธุรกิจโกลบอลเฮลธ์แคร์ พบว่า

1.กลุ่มเทคโนโลยี/นวัตกรรมทางการแพทย์ หรือที่เรียกว่า Medical Technology กลุ่มนี้มีอัตราการเติบโตสูงมาก บริษัทที่พัฒนาหุ่นยนต์โรโบติกเพื่อใช้ในการผ่าตัดได้รับความนิยมสูง ตอบโจทย์วงการแพทย์ที่มีความต้องการใช้อุปกรณ์ทันสมัยช่วยในการผ่าตัดคนไข้ในจุดที่ยากต่อการเข้าถึง ผนวกกับการเข้าถึงการทำประกันสุขภาพที่เพิ่มขึ้นของประชากรคนอเมริกัน แน่นอนจึงเป็นต้นเหตุให้ราคาหุ้นกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยกว่า 32% ด้วยเหตุที่ราคาหุ้นขึ้นมาแรง กองทุนหลักจึงลดสัดส่วนการถือครองและเพิ่มน้ำหนักหุ้นกลุ่มผู้ผลิตยาไบโอเทคที่ราคาลดลงแรงในเดือน ต.ค.อย่างที่ได้เรียนไว้ข้างต้น ตัวอย่างดังกล่าว อาทิ

  • Boston Scientific ผลตอบแทนต้นปีเพิ่มขึ้น +17.80% น้ำหนักลงทุนในพอร์ต 3.6%
  • Invitae ผลตอบแทนต้นปีเพิ่มขึ้น 126.90% น้ำหนักลงทุนในพอร์ต 0.90%

2.กลุ่มผู้ให้บริการทางด้านสุขภาพ หรือที่เรียกว่า Healthcare Services

  • 2.1 กลุ่มจัดการสุขภาพและประกันสุขภาพ ได้ประโยชน์จากทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ขาขึ้นทำให้พอร์ตลงทุนของกลุ่มบริษัทประกันซึ่งมีการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องสูงกว่าธุรกิจกลุ่มอื่นเป็นปกตินั้นเกิดกำไร ตัวอย่างบริษัทลงทุน อาทิ บริษัท Aetna มีน้ำหนักลงทุนในพอร์ตกองทุนหลัก 0.49%
  • 2.2 กลุ่มบริการทางด้านสุขภาพ เป็นผู้ให้บริการที่พักรักษาบริการกับตัวผู้ป่วย ตัวอย่างบริษัทลงทุน อาทิ บริษัท UnitedHealth Group มีน้ำหนักลงทุนในพอร์ตกองทุนหลัก 4.39%

กิจกรรมควบรวมก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ให้หุ้นกลุ่มนี้น่าสนใจลงทุน เพราะรวมบริษัทเป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งในการเพิ่มรายได้และส่วนแบ่งตลาด บริษัทในกลุ่มการจัดการสุขภาพ (2.1) และกลุ่มบริการทางด้านสุขภาพ (2.2) ในปีนี้ เกิดดีลควบรวมหลายครั้ง อาทิ การควบรวมระหว่างบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทำร้านแฟรนไชส์ขายยาอย่าง CVS กับบริษัท Aetna ที่ทำธุรกิจประกันสุขภาพ

การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในบริษัทกลุ่มผู้ให้บริการทางด้านสุขภาพแพร่หลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแสดงผล Bio data ของผู้ป่วยเอง / เช็คว่าหมอคนไหน ใช้ยาอะไร รักษาถูกหรือแพง เพื่อที่จะกำหนดทางเลือกแต่ละแบบว่ามีค่าใช้จ่ายประมาณแค่ไหน ช่วยลดต้นทุนให้ผู้ป่วย เม็ดเงินในอุตสาหกรรมนี้จึงสะพัดกว่า 3.5 ล้านล้านเหรียญต่อปีในปีนี้ ซึ่งเม็ดเงินที่สะพัดส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการของสถานประกอบการ ค่ายาเป็นส่วนน้อยเพียง 13% ของค่าใช้จ่ายรวม

3.ผู้วิจัยยาด้านนวัตกรรมทางชีวภาพ หรือที่เรียกว่า Biopharmaceutical กลุ่มนี้จะเป็นหัวใจของการเติบโตของกลุ่มเฮลธ์แคร์ในอนาคต เพราะมีการลงทุนในงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมรักษาโรคร้ายแรง เชื่อว่าในอีกเพียง 12-24 เดือนต่อจากนี้ผลงานเชิงวิทยาศาสตร์ของตัวยาที่ผ่านการทดลองในเฟส 3 ซึ่งเป็นเฟสสุดท้ายจะทยอยประกาศออกมา เช่น ยาอัลไซเมอร์ มะเร็ง อนึ่ง กองทุนหลักถือโอกาสทยอยสะสมลงทุนเพิ่มเติมในช่วงเดือน ต.ค. หลังจากที่ราคาหุ้นกลุ่มนี้ร่วงตามกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ อาทิ Amazon, Facebook เนื่องจากตลาดมองว่าหุ้นกลุ่มนี้มีความไม่แน่นอนของรายได้สูง

Source: Wellington Management. All rights reserved. Data as of 23 November 2018
Healthcare outlook in 2019 are exclusively supported by Mr.Adnan Younis, CFA, CMT, Equity portfolio specialist, Wellington Management during the November meeting at BBLAM office.
Important Notice: Wellington Management Company LLP (WMC) is an independently owned investment adviser registered with the US Securities and Exchange Commission (SEC).
BF PRODUCT

เจาะประเด็นปัจจัยบวกและลบต่อหุ้นโกลบอลเฮลธ์แคร์ในอนาคต

(+) ประชากรสูงวัยทั่วโลกเข้าสู่จุดพลิกผันที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงรายได้บริษัท (Tipping points) อาทิ ประชากรญี่ปุ่นจะมีสัดส่วนคนสูงวัยแตะ 35% ของประชากร ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ค่าใช้จ่ายเฮลธ์แคร์สหรัฐฯ เทียบจีดีพีแตะระดับสูงที่ 17.5% เพราะชาวอเมริกันได้เข้าถึงประกันสุขภาพแบบที่ประสงค์จะจ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อสิทธิคุ้มครองให้ที่ดีขึ้นกว่าสวัสดิการผู้สูงอายุ +65 ภาครัฐ หรือที่เรียกกันว่าเมดิแคร์

(+) ผลลัพธ์การทดลองยาเชิงวิทยาศาสตร์ในเฟสสุดท้ายกำลังจะปะทุในอีก 12-24 เดือนข้างหน้าจำนวนหลายตัวยา อาทิ อัลไซเมอร์ มะเร็ง ผลลัพธ์ที่ว่านี้จะทำให้บริษัทผู้วิจัยยาไบโอเทคที่วิจัยยามาอย่างยาวนานกว่า 10 สามารถทำตลาดในเชิงพาณิชย์ สร้างรายได้หลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อหนึ่งตัวยาที่อนุญาตให้ใช้ได้

กราฟ: แสดงกระบวนของการวิจัยนวัตกรรมตัวยาใหม่ๆ ในห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์จนกว่ายานั้นจะสามารถออกสู่ตลาดและหาผลประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ซึ่งสร้างมูลค่าให้กับบริษัทนั้นได้ระดับหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กระบวนการดังกล่าวกินเวลาประมาณ 10 ปีโดยเฉลี่ย

(+) ผู้บริหารกองทุนหลัก (Lead portfolio managers) ซึ่งมีประสบการณ์บริหารหุ้นเฮลธ์แคร์มาตลอด 28 ปีกล่าวว่าไม่เคยเจอช่วงเวลาไหนที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเช่นนี้มาก่อนสร้างความตื่นเต้นให้กับทีมงานโกลบอลเฮลธ์แคร์มาก

(+) ผลเลือกตั้ง Mid-term election สหรัฐฯ เป็นไปตามโพลที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนเลือกตั้ง การคานอำนาจของสองขั้วการเมืองทำให้การออกกฎหมายใหม่เพื่อควบคุมราคายากระทำยากขึ้น และช่วยให้การดำเนินธุรกิจมีความธรรมาภิบาลโปร่งใสขึ้น

หมายเหตุ: ผลเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ ในวันที่ 6 พ.ย.

วุฒิสภา -> พรรครีพลับลิกัน 51 ที่นั่ง: พรรคเดโมแครต 47 ที่นั่ง

สภาผู้แทน -> พรรครีพลับลิกัน 198 ที่นั่ง: พรรคเดโมแครต 227 ที่นั่ง

กล่าวสรุป พรรครีพลับลิกันได้เสียงวุฒิสภาเพิ่มขึ้น 1 ที่นั่ง / ขณะที่พรรคเดโมแครตได้ส่วนแบ่งสภาผู้แทนเพิ่มขึ้นมากถึง 32 ที่นั่ง

(+) คนไข้ที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรังได้รับการรักษาที่ยาวนานขึ้น มีอายุขัยมากขึ้น

(+) โอกาสของเฮลธ์แคร์ในตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะจีนที่มีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนายาไบโอเทคสูงเป็นอันดับสองของโลกรองจากสหรัฐฯ และความต่อเนื่องของนวัตกรรมด้านการวินิจฉัย ป้องกัน รักษาโรค

(+/-) ระดับ Valuation หุ้นเมื่อวัดจากดัชนี MSCI World Healthcare ในภาพรวมอาจจะดูเหมาะสมเมื่อวัดจากการประเมินมูลค่าหุ้นที่ใช้กันโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการหามูลค่าหุ้นด้วยวิธีมูลค่าปัจจุบันของเงินปันผล DDM (Divident discount model) หรือมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับ FCF (Free cashflow method) แต่อย่างลืมว่าหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์มีลักษณะเฉพาะเพราะไม่สามารถประเมินมูลค่าหุ้นด้วยโมเดลดั้งเดิม บริษัทในกลุ่มวิจัยทดลองยาไบโอเทค ยังไม่สร้างรายได้เพราะอยู่ในระยะวิจัยทดลอง ผู้จัดการกองทุนประเมินมูลค่าหุ้นด้วยโมเดลพื้นฐานของความเป็นไปได้ของผลลัพธ์ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific data)

ประเด็นทางการเมืองสหรัฐฯ ต่อราคายา (Drug Pricing)

(+) ผลเลือกตั้ง Mid-term election จะทำให้การออกกฎหมายใหม่เพื่อควบคุมราคายา (Drug pricing) กระทำยากขึ้นจากนี้ไป และเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดในแง่การตรวจสอบและความโปร่งใสของรัฐบาล

(+) นาย Scott Gottlieb ผู้ดำรงตำแหน่ง FDA (Food and Drug commissioner) คนใหม่ของสหรัฐฯ ที่มีแนวคิดสนับสนุนธุรกิจเฮลธ์แคร์สหรัฐฯ โดยเฉพาะบริษัทยาที่วิจัย/พัฒนาด้าน innovation

(-) พิมพ์เขียว (Blueprint) ของโดนัลด์ ทรัมป์ในเดือน ก.ค. แสดงให้เห็นว่าเขาต้องการให้บริษัทยาซึ่งไม่พัฒนาตนเองหันมาแข่งขันกันเพื่อให้ได้ยาที่ถูกลง บริษัทยาเหล่านี้ส่วนใหญ่จดทะเบียนอยู่ในกลุ่ม Large cap Pharmaceutical ซึ่งกองทุนหลักของเรามีน้ำหนักลงทุนน้อยมากจนแทบจะไม่มีนัย กล่าวโดยสรุป กองทุนหลัก Overweight บริษัทวิจัยยา/นวัตกรรม/เทคโนโลยีการแพทย์ขนาดกลาง-เล็กกว่าสามในสี่ของพอร์ตลงทุน

โอกาสของเฮลธ์แคร์ในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets)

ค่าใช้จ่ายด้านเฮลธ์แคร์ในจีนและตลาดเกิดใหม่เติบโตขึ้นเร็วกว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP Growth) ด้วยแรงส่งของโครงสร้างประชากร และการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายสุขภาพของกลุ่มคนที่มีความมั่งคั่งสูง การเข้าสูงสังคมเมือง การเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิต และการที่รัฐบาลจีนปฏิรูปทางด้านเฮลธ์แคร์ เพื่อให้คนเข้าถึงเฮลธ์แคร์เพิ่มด้วยการสร้างโรงพยาบาลให้ทันสมัย แผนประกันสุขภาพ และการเบิกค่าใช้จ่ายยานั้นเพื่อรองรับระบบประกันสุขภาพในระยะแรก

สำหรับประเทศอื่นๆ ในเอเชียก็มีแนวโน้มเดียวกัน คือ เรื่องของโครงสร้างประชากร โดยอินโดนีเซียเริ่มมีระบบประกันสุขภาพขึ้นได้สองสามปีก่อน ขณะที่อินเดีย กำลังอยู่ในช่วงร่างระบบ

กองทุนหลักสิ้นเดือน ต.ค. ถือหุ้นเฮลธ์แคร์จีน ประมาณ 1.90% ของพอร์ต อาทิ บริษัท Beigene ADR (ถือครอง 0.55%) และบริษัท Hutchison China ADR (ถือครอง 0.17%) สาเหตุที่ถือครองลดลงจากไตรมาสสองเพราะหุ้นไบโอเทคจีนราคาลดลงภายหลังองค์การอาหารและยาจีนออกมาตรการเข้มงวดต่อคุณภาพยาไบโอเทค ทำให้การพิจารณาคุณสมบัติต้องผ่านมาตรฐานที่สูงขึ้น ปัจจัยดังกล่าวสร้างความผันผวนให้กับราคาหุ้นในช่วงสั้น

ความเคลื่อนไหวหุ้นเด่นๆ ในพอร์ตกองทุนหลัก

Wellington Global Healthcare Equity Portfolio

  1. บริษัท Eisai (น้ำหนักลงทุนในพอร์ต 2.47%) บริษัทยาชีวสัญชาติญี่ปุ่น มีตัวยาวิจัยระยะทดลองเฟส 3 ซึ่งเป็นเฟสสุดท้ายอยู่สองตัวยาที่รอการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ในปีนี้ถึงต้นปีหน้า หากทำได้จะสร้างรายได้ให้บริษัทถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี
  2. บริษัท Allergan (น้ำหนักลงทุนในพอร์ต 2.75%) เจ้าของยาโบทอกซ์ที่มีคุณภาพดีที่สุดในโลก ครองส่วนแบ่งตลาด 70% ในยาโบทอกซ์ โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ ดารา นักแสดง ผลตอบแทนหุ้นติดลบตั้งแต่ต้นปี (YTD) เพราะรายได้จากยาที่ใช้ในวงการรักษาโรคผิวหนังชะลอตัวลง
  3. บริษัท Teva Pharmaceutical Industries Ltd. (น้ำหนักลงทุนในพอร์ต 0.45%) บริษัทผลิตยาสหรัฐฯ ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในอิสราเอล ได้ประโยชน์จากมาตรการภาษีของทรัมป์ (Tax Repatriation Plan) ในช่วงต้นปี ตามนโยบายหาเสียง American First เพราะมีสินทรัพย์อยู่นอกประเทศสหรัฐฯ กองทุนหลักถือหุ้นตัวนี้เพราะเตรียมรองรับช่วงที่บริษัทผลิตยาขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ที่กำลังจะเผชิญกับภาวะสิทธิบัตรหมดอายุ (Patent cliff) ในอีกสองถึงสามปีข้างหน้า บริษัท Teva ผลิตยาชีววัตถุคล้ายคลึง (Bio Similar) จึงได้ประโยชน์จากภาวะดังกล่าว
  4. บริษัท Shionoji & Company Limited (พอร์ตลดสัดส่วนจนเหลือ 0%) เพราะกฏระเบียบทางการญี่ปุ่นทำให้ตลาดยาแข่งขันกันรุนแรง การทำตลาดยากลำบาก

Positive Contributor

หุ้น Top-3 ในพอร์ตลงทุนที่ Outperform (Largest Positive Contributor) ใน 3Q18 ได้แก่

  1. Boston Scientific (Healthcare Service, น้ำหนักลงทุน 3.6%) ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 17.8%
  2. Eisai (Biopharma Large Cap, น้ำหนักลงทุน 2.4%) ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 39.5%
  3. Eli Lilly (Biopharma Mid Cap, น้ำหนักลงทุน 2.0%) ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 26.4%

Negative Contributor

หุ้น Top-3 ในพอร์ตลงทุนที่ Underperform ใน 3Q18 ได้แก่

  1. Alkermes (Biopharma Mid Cap, น้ำหนักลงทุน 1.8%) ราคาหุ้นลดลง -28.7%
  2. Nextar Therapeutics (Biopharma Mid Cap, น้ำหนักลงทุน 0.8%) ราคาหุ้นลดลง -48.2%
  3. Bristol-Myers Squibb(Biopharma Large Cap, น้ำหนักลงทุน 3.4%) ราคาหุ้นลดลง -11.6%

คำถามคำตอบสำคัญสำหรับผู้ถือหน่วยลงทุน

  1. เมื่อสหรัฐฯ มีแนวทางการดำเนินการออกกฎหมายเพื่อให้ได้ยาที่มีราคาลงแล้ว ทำไม่จึงไม่ส่งผลในเชิงลบต่อพอร์ตการลงทุนของกองทุนหลัก (Wellington Global Healthcare Equity Portfolio)
    • ตอบ: กองทุนหลักเน้นลงทุนในบริษัทยานวัตกรรมที่ทำ Innovative Drug จึงไม่กระทบหากรัฐมีแนวทางเพิ่อลดราคายาให้ถูกลง กองทุนหลักลงทุนในบริษัทวิจัยยาที่ยังไม่มีรายได้ ยังไม่สามารถแสวงหาผลประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ยังไม่มีสาขา แต่เป็นบริษัทที่เต็มเปี่ยมไปด้วยมูลค่าเพราะตกเป็นเป้าหมาย
      ในการควบควมกิจการของบริษัทยักษ์ใหญ่ อีกทั้งหากยาไบโอเทคที่ผ่านการอนุมัติให้ออกสู่ตลาดแล้ว จะสร้างรายได้อย่างมหาศาลหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แก่บริษัทผู้วิจัยและผลิตยา ตัวอย่างบริษัทข้างต้นที่กองทุนหลักลงทุน อาทิ บริษัท Abbvie ผู้วิจัยยาไบโอเทคที่เน้นการวิจัยเชิงลึกระดับยีนส์สัญชาติสหรัฐฯ
  2. ทำไมบริษัทลงทุนของกองทุนหลัก BCARE จึงเน้นบริษัทเฮลธ์แคร์ขนาดกลาง-เล็ก (Mid-Small Cap) ซึ่งแตกต่างจากกองทุนเฮลธ์แคร์ของคู่แข่ง อาทิ JPMorgan Global Healthcare Fund ที่เน้นลงทุนบริษัทเฮลธ์แคร์ขนาดใหญ่ กองทุนหลัก Wellington Global Healthcare Fund ของบัวหลวงมีจุดเด่นอะไร ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
    • ตอบ: บริษัทเฮลธ์แคร์ขนาดใหญ่แม้จะน่าสนใจในแง่ที่มีอัตราเงินปันผลจ่ายที่สูงกว่าและเป็นหุ้นปลอดภัย (Defensive Stock) แต่อาจไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่หลายคนคิด เพราะบริษัทเหล่านี้กำลังเผชิญกับภาวะสิทธิบัตรหมดอายุ (Patent Cliff) ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เมื่อสิทธิบัตรยาหมดอายุจะก่อให้เกิดการแข่งขันสูงมาก ตัวยาแบบเดิมจะถูกทดแทนด้วยตัวยาชีววัตถุคล้ายคลึง (Bio similar) บริษัทผู้ผลิตยาขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ อาทิ Johnson & Johnson, Pfizer ผู้ผลิตยารักษามะเร็งปอด, Amgen, Merck ผู้ผลิตยารักษาเบาหวาน เป็นหุ้นในพอร์ตส่วนใหญ่ของกองทุนหลักของคู่แข่งถือครองแทบทั้งสิ้น
  3. จังหวะนี้ควรลงทุนหุ้นเฮลธ์แคร์เพิ่มเติมไหม
    • ตอบ: แง่ระดับราคานั้นหุ้นอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่ได้ถูกหรือแพง แง่ผลิตภัณฑ์ยามีความน่าสนใจสูงเพราะนวัตกรรมยาใหม่ๆ กำลังจะปะทุ โครงสร้างประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้น และโอกาสของยาไบโอเทคจีนที่รัฐทุ่มงบประมาณวิจัยเป็นอันดับสองของโลก จีนมีการนำนักศึกษาแขนงการแพทย์ที่จบจากมหาลัยชั้นนำสหรัฐฯ กลับมาพัฒนาประเทศโดยได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาล

Source: Wellington Management. All rights reserved. Data as of 23 November 2018
https://www.ft.com/content/e4e62632-93f0-11e7-a9e6-11d2f0ebb7f0
https://www.cnbc.com/2018/01/29/watch-alex-azar-sworn-in-as-trumps-new-health-care-chief.html

กลยุทธ์ของ Wellington Global Health Care Equity Portfolio

เน้นการเติบโตของเงินลงทุนผ่านการลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทที่ทำธุรกิจทางด้านเฮลธ์แคร์ ด้วยการลงทุนที่หลากหลายทั้งในธุรกิจย่อย (Sub-Sector) มูลค่าตลาดของหลักทรัพย์ลงทุน และภูมิภาคต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วโลก

กองทุนหลัก (Master Fund)

ชื่อ: Wellington Global Health Care Equity Portfolio ชนิดหน่วยลงทุน Class S (Accum-USD)

วัตถุประสงค์การลงทุน: แสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาวในหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ทั่วโลก

Investment style:

  • คัดสรรหุ้นรายตัวแบบ Bottom up ด้วยปัจจัยพื้นฐาน
  • เน้นบริษัทที่มีมูลค่ากิจการแข็งแกร่ง

วันจดทะเบียน: October 2003 ประเทศที่จดทะเบียน: ไอร์แลนด์

สกุลเงิน: USD

เกณฑ์วัดผลการดำเนินงาน (Benchmark): MSCI World Healthcare Net

Morningstar Category: Large cap growth Bloomberg (A): WGHCEPA ID

Fund Size: USD 2.2 billion NAV: USD 55.10

Number of holdings: 143