ตลาดหุ้นไทยในเดือนพฤศจิกายนมีความผันผวนค่อนข้างสูง เคลื่อนไหวในกรอบ 1,688.90 – 1598.97 จุด โดยปิดตลาดสิ้นเดือนปรับตัวลดลง 1.60% สวนทางกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค ความผันผวนที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศที่มีทั้งบวกลบสลับกัน ได้แก่ ความกังวลต่อการเลื่อนเลือกตั้งหลังกลุ่มพรรคการเมืองรวมตัวกันยื่นขอให้ กกต.เลื่อนการเลือกตั้งออกไป ตัวเลข GDP ของไทยในไตรมาสที่ 3 ที่ออกมาต่ำกว่าตลาดคาด ความกังวลเกี่ยวกับพรบ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่กำลังอยู่ระหว่างพิจารณาโดยสนช. และราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงแรงหลังจากรัสเซียและ OPEC เพิ่มกำลังการผลิต อย่างไรก็ตาม แม้จะมีปัจจัยข่าวลบมากกว่าข่าวบวกในช่วงสามสัปดาห์แรกของเดือน แต่ในช่วงสัปดาห์สุดท้าย เราเห็นแรงซื้อกลับเข้ามา นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์
ในขณะที่กระแสเงินลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นแรงขาย และเป็นตลาดเดียวในภูมิภาคที่นักลงทุนต่างชาติยังคงขายอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดเดือนพฤศจิกายนมีแรงขายทั้งสิ้นประมาณ 13,000 ล้านบาท สอดคล้องกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าน้อยกว่าค่าเงินอื่นๆในภูมิภาค สะท้อนให้เห็นว่า ดัชนี ณ ระดับนี้ยังไม่เป็นที่สนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากยังการขาดปัจจัยบวกใหม่ๆ ทั้งผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ออกมาไม่ได้โดดเด่น รวมถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากตัวเลขการส่งออกและตัวเลขด้านการท่องเที่ยว
แม้จะมีข่าวดีในต้นเดือนธันวาคมคือ ผลการประชุม G20 โดยสหรัฐฯและจีนประกาศเจรจาสงบศึกทางการค้า 90 วัน และจะยังไม่มีการเก็บภาษีเพิ่มเติมจากปัจจุบันหลังจากวันที่ 1 ม.ค. 2562 เป็นต้นไป รวมถึงปัจจัยกระตุ้นการบริโภคในประเทศ หลังจากรัฐมนตรีกระทรวงคลังเตรียมยื่นมาตรการช็อปช่วยชาติ ซื้อสินค้า 3 รายการ “ยางรถยนต์ หนังสือและสินค้าโอทอป” ต่อคณะรัฐมนตรีฯ แต่คาดว่าปัจจัยดังกล่าวเป็นเพียงปัจจัยเชิงบวกในระยะสั้น เพราะผลกระทบต่อประเทศไทยในกรณีสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนมีอยู่จำกัด และการกระตุ้นการบริโภคในประเทศกระจุกตัวอยู่เพียงสินค้าบางชนิดเท่านั้น โดยปัจจัยที่นักลงทุนให้น้ำหนัก คือ การเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว เราคิดว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ sideways โดยยังคงกลยุทธ์การลงทุน โดยเลือกลงทุนหุ้นรายตัวอย่างพิถีพิถัน ในหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการที่ดีและมีระดับราคาที่เหมาะสม
Fund Comment
Fund Comment: ภาพรวมตลาดหุ้น พฤศจิกายน 2561
ตลาดหุ้นไทยในเดือนพฤศจิกายนมีความผันผวนค่อนข้างสูง เคลื่อนไหวในกรอบ 1,688.90 – 1598.97 จุด โดยปิดตลาดสิ้นเดือนปรับตัวลดลง 1.60% สวนทางกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค ความผันผวนที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศที่มีทั้งบวกลบสลับกัน ได้แก่ ความกังวลต่อการเลื่อนเลือกตั้งหลังกลุ่มพรรคการเมืองรวมตัวกันยื่นขอให้ กกต.เลื่อนการเลือกตั้งออกไป ตัวเลข GDP ของไทยในไตรมาสที่ 3 ที่ออกมาต่ำกว่าตลาดคาด ความกังวลเกี่ยวกับพรบ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่กำลังอยู่ระหว่างพิจารณาโดยสนช. และราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงแรงหลังจากรัสเซียและ OPEC เพิ่มกำลังการผลิต อย่างไรก็ตาม แม้จะมีปัจจัยข่าวลบมากกว่าข่าวบวกในช่วงสามสัปดาห์แรกของเดือน แต่ในช่วงสัปดาห์สุดท้าย เราเห็นแรงซื้อกลับเข้ามา นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์
ในขณะที่กระแสเงินลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นแรงขาย และเป็นตลาดเดียวในภูมิภาคที่นักลงทุนต่างชาติยังคงขายอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดเดือนพฤศจิกายนมีแรงขายทั้งสิ้นประมาณ 13,000 ล้านบาท สอดคล้องกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าน้อยกว่าค่าเงินอื่นๆในภูมิภาค สะท้อนให้เห็นว่า ดัชนี ณ ระดับนี้ยังไม่เป็นที่สนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากยังการขาดปัจจัยบวกใหม่ๆ ทั้งผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ออกมาไม่ได้โดดเด่น รวมถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากตัวเลขการส่งออกและตัวเลขด้านการท่องเที่ยว
แม้จะมีข่าวดีในต้นเดือนธันวาคมคือ ผลการประชุม G20 โดยสหรัฐฯและจีนประกาศเจรจาสงบศึกทางการค้า 90 วัน และจะยังไม่มีการเก็บภาษีเพิ่มเติมจากปัจจุบันหลังจากวันที่ 1 ม.ค. 2562 เป็นต้นไป รวมถึงปัจจัยกระตุ้นการบริโภคในประเทศ หลังจากรัฐมนตรีกระทรวงคลังเตรียมยื่นมาตรการช็อปช่วยชาติ ซื้อสินค้า 3 รายการ “ยางรถยนต์ หนังสือและสินค้าโอทอป” ต่อคณะรัฐมนตรีฯ แต่คาดว่าปัจจัยดังกล่าวเป็นเพียงปัจจัยเชิงบวกในระยะสั้น เพราะผลกระทบต่อประเทศไทยในกรณีสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนมีอยู่จำกัด และการกระตุ้นการบริโภคในประเทศกระจุกตัวอยู่เพียงสินค้าบางชนิดเท่านั้น โดยปัจจัยที่นักลงทุนให้น้ำหนัก คือ การเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว เราคิดว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ sideways โดยยังคงกลยุทธ์การลงทุน โดยเลือกลงทุนหุ้นรายตัวอย่างพิถีพิถัน ในหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการที่ดีและมีระดับราคาที่เหมาะสม