Time for midcaps to shine again?
สรุปภาวะการเมืองต่อทิศทางการลงทุน
การสูญเสียไป 3 ที่นั่งจากจำนวนที่นั่งเดิมของพรรค BJP (ของนายนเรนทรา โมดิ) ในการเลือกตั้ง 3 รัฐสำคัญ (ได้แก่ รัฐฉัตตีสครห์ รัฐมัธยประเทศ รัฐราชสถาน) ช่วงต้นเดือน ธ.ค. 2018 แทบจะไม่ได้เพิ่มความกังวลให้กับตลาดต่อทิศทางการเมืองอินเดียมากนัก
ตลาดคาดการณ์ไว้แล้วว่าแนวโน้มที่พรรค BJP จะกลับมามีความเป็นไปได้สูง แต่การจะรักษาที่นั่งให้ได้เท่าเดิมอย่างถล่มทลายเหมือนปี 2014 นั้นยังคงต้องเฝ้าติดตาม อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่าการเลือกตั้งผู้นำประเทศในปีนี้ พรรค BJP อาจได้รับเสียงสนับสนุนอย่างดีเช่นเคย เพราะ
- ความนิยมต่อนายโมดิยังดีต่อเนื่อง
- เหตุผลของผู้ลงคะแนนเสียง ระหว่างการเลือกตั้งผู้นำรัฐกับการเลือกตั้งผู้นำประเทศมีความแตกต่างกัน
มุมมองของกองทุนหลักต่อสถานการณ์การเลือกตั้งในเดือน เม.ย.-พ.ค. 2019
ผู้จัดการกองทุนหลัก Kotak India Midcap Fund นาย Arjun Khanna คาดการณ์ไว้ 3 กรณีว่า
- Base case (มีโอกาสเกิดขึ้น 50%) อาจจะเกิดรัฐบาลผสม (Coalition party) กล่าวคือ นายโมดิได้เสียงลดลงจากเดิมแต่ยังสามารถเป็นแกนนำรัฐบาลได้ด้วยการจัดตั้งรัฐบาลผสม เพราะการเลือกตั้งรัฐสำคัญๆในช่วงปลางปี 2018 พรรค BJP ของนายโมดิได้เสียงน้อยลงเล็กน้อย กรณีดังกล่าวคาดการณ์ที่นั่งในสภาของพรรค BJP อยู่ที่ 210 – 272 ที่นั่งจากทั้งหมด 543 ที่นั่ง ซึ่งลดลงจากปี 2018 ที่ได้ 272 ที่นั่งจากทั้งหมด 543 ที่นั่ง
- Best case (มีโอกาสเกิดขึ้น 40%) พรรคของนายโมดิสามารถจัดตั้งรัฐบาลด้วยเสียงของตนเองเพียงพรรคเดียว (Leading party) เนื่องจากได้ที่นั่งในสภาเท่าเดิมหรือมากกว่าที่เคยเกิดขึ้นในปี 2014
- Worst case (มีโอกาสเกิดขึ้น 10%) โมดิได้ที่นั่งในสภาประมาณ 170+/- ที่นั่ง ส่งผลลบต่อการเมืองอินเดียและการสานต่อนโยบายรัฐ อาทิ โครงสร้างพื้นฐาน แผนปฏิรูป ฯลฯ
ปัจจัยบวกและลบต่อการลงทุนในหุ้นอินเดียมิดแคป
(+) การปรับฐานของดัชนีหุ้นอินเดียมิดแคป (Nifty Midcap 100 Index) ในปี 2018 ที่ลดลงถึง -22.57% บวกกับตั้งแต่ต้นปีนี้ YTD ถึงวันที่ 31 ม.ค. 2019 ดัชนีลดลงอีก -5.43% ทำให้ระดับมูลค่าหุ้น (Valuation) กลับมาซื้อขายที่ระดับใกล้เคียงกับช่วงปี 2014 ซึ่งเป็นห้วงเวลาของจุดเริ่มต้นของดัชนีขาขึ้นรอบใหญ่
(+) หุ้นอินเดียมิดแคปมีแนวโน้มทำกำไรได้ดีกว่าตลาดโดยรวมในปีนี้ กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนเมื่อวัดจาก Nifty Midcap คาดว่าจะเติบโตระดับ 16-18% ต่อปี สูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่เมื่อวัดจากดัชนี Nifty Large cap ที่เติบโตเพียง 10-12% ต่อปี
(+) รัฐบาลได้แต่งตั้งผู้ว่าการธนาคารกลาง (RBI) คนใหม่ชื่อนาย Shaktikanta Das ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเป็นเลขานุการกระทรวงการคลังในปี 2014 และเลขานุการ ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจในปี 2015 แทนนาย Urjit Patel ซึ่งลาออกไปเมื่อวันที่ 10 ต.ค. 2018
(-) ราคาน้ำมันสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว
(-) เสถียรภาพการเมืองภายหลังการเลือกตั้งใหญ่ในเดือน เม.ย.-พ.ค. 2019
(-) วิกฤติภาคสินเชื่อซึ่งเกิดจากระบบสถาบันการเงินในประเทศ
คำถามและคำตอบสำคัญสำหรับผู้ถือหน่วย
- ในปี 2018 เงินต่างชาติไหลออกจากตราสารทุนอินเดีย 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และขาดดุลการคลัง ผู้จัดการกองทุนหลักมีมุมมองอย่างไร?
- ในปี 2018 เงินลงทุนต่างชาติ FPI (Foreign portfolio investment) ไหลออก แต่เงินลงทุนจากนักลงทุนในประเทศ DIIs (Domestic Institutional Investor) ไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดียจำนวน 3.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าปีก่อน (2017) ถึง 3 เท่าตัว แสดงให้เห็นว่าชาวอินเดียเริ่มหันมาออมเงินในกองทุนรวมเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีการออม/การลงทุนน้อยกว่า 10% ของสินทรัพย์รวม ทิศทางดังกล่าวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการที่อินเดียเป็นเศรษฐกิจที่เติบโตได้รวดเร็วที่สุดในกลุ่มประเทศในตลาดเกิดใหม่
- ปี 2018 อินเดียขาดดุลการคลัง -3.3% ของ GDP เนื่องจากราคาน้ำมันสูงและเก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้าเล็กน้อย
- มุมมองต่อเศรษฐกิจอินเดียท่ามกลางสงครามการค้าระหว่าจีน-สหรัฐฯ?
- แม้จะส่งผลลบในเชิงมหภาค แต่บางกลุ่มอุตสาหกรรมเริ่มเห็นแนวโน้มที่ได้ประโยชน์เนื่องจาก
- ผู้ประกอบการจีนหันมาตั้งฐานการผลิตในประเทศอินเดียด้วยเหตุที่จีนมีนโยบายควบคุมผลกระทบทางด้านมลภาวะ
- บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลกเช่น บริษัท Foxconn ที่ผลิตชิ้นส่วนภายในสมาร์ทโฟนให้มือถือค่าย Apple และ Samsung เตรียมเปิดสายการผลิตในอินเดียปี 2021-2022 เนื่องจากค่าแรงอินเดียมีราคาถูก
- 2 ใน 3 ของ GDP อินเดียมาจากการบริโภคในประเทศ จึงเป็นฉนวนที่ดีเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่อื่นๆ
- แม้จะส่งผลลบในเชิงมหภาค แต่บางกลุ่มอุตสาหกรรมเริ่มเห็นแนวโน้มที่ได้ประโยชน์เนื่องจาก
Portfolio Details: Kotak India Mid Cap Fund as of Dec 18
ที่มา: https://www.bblam.co.th/application/files/9615/4588/2628/MFU_B-INDIAMRMF_TH.pdf