ภาวะตลาดหุ้นทั่วโลก
ไตรมาสสุดท้ายของปี 2018 เป็นไตรมาสที่ไม่สดใสสำหรับตลาดหุ้นทั่วโลก ด้วยปัจจัยที่รุมเร้าไม่ว่าจะเป็นความกังวลในเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการดำเนินนโยบายที่รัดกุม (Tightening Monetary Policy) ของ FED การเกิดภาวะ Inverted Yield Curve ของเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ ตัวเลขทางเศรษฐกิจของยูโรโซนที่ปรับลดลงค่อนข้างแรง สัญญาณการชะลอตัวลงในการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน รวมถึงปัญหาทางด้านการเมือง ไม่ว่าจะเป็น สถานการณ์การกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน การปิดหน่วยงานรัฐบาลชั่วคราวของสหรัฐ (Government Shutdown) Brexit ปัญหาเรื่องการเมืองภายในประเทศของอิตาลี ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนำไปสู่ความกังวลที่ว่าเศรษฐกิจโลกอาจประสบกับภาวะวิกฤต (Recession) ในอนาคตอันใกล้ได้
สำหรับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่กองทุน B-FUTURE ลงทุน ในช่วงครึ่งหลังของปี 2018 ต้องเผชิญกับความผันผวนด้วยแรงกดดันต่อเนื่องมาจากการกีดกันทางค้าระหว่างสหรัฐและจีน ผนวกกับยอดขายของ iPhone ที่ลดลงก่อให้เกิดความกังวลว่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีกำลังก้าวเข้าสู่วัฎจักรชะลอตัว รวมถึงราคาของบรรดาหุ้นเทคโนโลยีที่ปรับขึ้นไปสูงมากในช่วงก่อนหน้าทำให้เกิดแรงขายทำกำไรออกมา
อย่างไรก็ตาม เมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2019 บรรดาสินทรัพยเสี่ยงต่างๆ เริ่มกลับมามีผลตอบแทนเป็นบวกอีกครั้ง โดยที่ตลาดหุ้นทั้งส่วนของประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Market) และตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ล้วนปรับขึ้นมาแล้วประมาณ 7% ในช่วงเดือน ม.ค. 2019 ด้วยแรงกดดันต่างๆ ที่เกิดในปี 2018 มีสัญญาณผ่อนคลายลง ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณที่ FED อาจชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งช่วยลดทอนความกังวลของนักลงทุนในเรื่องที่ว่าอัตราดอกเบี้ยอาจสูงเกินไปเมื่อเทียบกับสภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง หรือความรุนแรงทางด้านการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน
กลยุทธ์การลงทุนและมุมมองของผู้จัดการกองทุน
ผู้จัดการกองทุนมองว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้อยู่ในช่วงชะลอตัวจากปีก่อนหน้า แต่ทว่าไม่ได้กำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ (Recession) ด้วยการชะลอของเศรษฐกิจโลกส่วนหนึ่งมาจากผลของฐานที่สูงจากปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ความกังวลหลักของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นโลก ได้แก่ ความเสี่ยงทางด้านสงครามการค้าที่จะมีกระทบกับเศรษฐกิจจริงของสหรัฐ จีน และต่อเนื่องไปถึงประเทศที่เป็นห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งแนวโน้มของสงครามการค้ายังคงยืดเยื้อต่อไปด้วยการเจรจาที่ยังหาข้อสรุปที่ชัดเจนไม่ได้
สำหรับกองทุน B-FUTURE ผู้จัดการกองทุนเน้นการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับของการบริโภค (Consumption Upgrade) และธุรกิจที่เติบโตไปพร้อมกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป โดยให้น้ำหนักกับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจบริการมากกว่าธุรกิจการผลิต
ผู้จัดการกองทุนเชื่อมั่นว่าความผันผวนของตลาดในระยะสั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อ Theme การลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการพัฒนาของเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ เพื่อช่วยให้การดำรงชีวิตในอนาคตมีความสะดวกสบายมากขึ้น รวมไปถึงพลังของการบริโภคโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริโภคในเอเชียที่โครงสร้างทางด้านประชากรเอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว รวมถึงแนวโน้มใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นและส่งผลบวกต่อการบริโภคและการลงทุน ทั้งการขยายตัวของสังคมเมือง (Urbanization) และ ความต้องการที่จะบริโภคในสินค้าหรือบริการที่ในระดับราคาที่สูงและมีคุณค่ามากขึ้น (Premiumization)
สำหรับกองทุนต่างประเทศที่กองทุน B-FUTURE ไปลงทุน ณ ปัจจุบัน ประกอบไปด้วย 2 กองทุน ได้แก่ Fidelity fund-China Consumer และ Allianz Global Artificial Intelligence ซึ่งข้อมูลและมุมมองจากผู้จัดการกองทุนทั้ง 2 กองทุน เป็นดังนี้
- Fidelity fund-China Consumer ผลการดำเนินงานของกองทุนในปี 2018 ที่ปรับตัวลดลงมากกว่าตลาดนั้นส่วนหนึ่งมาจากการ Underweight หุ้นในอุตสาหกรรมพลังงานซึ่งปรับตัวขึ้นจากแรงส่งของราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ผู้จัดการกองทุนมองว่า ตลาดหุ้นจีนในระยะสั้นน่าจะยังคงเผชิญความผันผวนด้วยปัจจัยการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนยังคงยืดเยื้อ การอ่อนค่าของค่าเงินหยวน และความเป็นไปได้ที่การเติบโตของเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลง โดยผู้จัดการกองทุนยังคงเน้นการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจยุคใหม่ของจีน (New China) ซึ่งเชื่อว่าบริษัทเหล่านี้จะมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพใน 3-5 ปีข้างหน้า โดย ณ ปัจจุบัน ผู้จัดการกองทุนมีมุมมองเชิงบวกต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค ธุรกิจประกัน และอุตสาหกรรมยาในจีน
- Allianz Global Artificial Intelligence ผลการดำเนินงานของกองทุนปรับตัวลงในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2018 ด้วยความกังวลจากทั้งเรื่องสงครามการค้าและความกังวลเรื่องการชะลอตัวของยอดขายสินค้ากี่ยวกับเทคโนโลยี ทำให้ผู้จัดการกองทุนทำการปรับลดสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ลงจากเดิมที่ประมาณ 27% มาเป็นต่ำกว่า 20% ด้วยเป็นกลุ่มที่อ่อนไหวต่อประเด็นเรื่องความขัดแย้งทางด้านการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน รวมถึงกลับมามีสถานะการลงทุนในกลุม Social Media อย่างมีนัยสำคัญอีกครั้ง ผู้จัดการกองทุนมุมมองเชิงบวกอย่างมากต่อพัฒนาการของปัญญาประดิษฐ (AI) โดยเห็นการนำเอา AI เข้ามาปรับใช้กับธุรกิจ หรือการดำรงชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงการพัฒนาของนวัตกรรมใหม่ๆ จะช่วยสร้างโอกาสในการลงทุนให้แก่นักลงทุน
ตัวอย่างหุ้นในพอร์ตการลงทุนของกองทุน B-FUTURE
- Fast Retailing ผู้ผลิตเครื่องแต่งกายสัญชาติญี่ปุ่นโดยมีแบรนด์หลัก ได้แก่ Uniqlo ซึ่งได้รับความนิยมทั้งในญี่ปุ่นและตลาดต่างประเทศด้วยการมีสินค้าที่หลากหลายสำหรับทุกเพศทุกวัย แบบเสื้อผ้าที่เรียบง่าย วัสดุมีคุณภาพ ตั้งราคาที่สามารถเข้าถึงได้ รวมถึงมีการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับเสื้อผ้าอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจได้รับความนิยมและขยายตัวได้ดีโดยเฉพาะในจีนและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้จัดการกองทุนชอบ Fast Retailing ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นแบรนด์ขนาดใหญ่มีความสามารถในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ และมีความแข็งแกร่งที่จะเผชิญกับการแข่งขันของร้านเสื้อผ้าในรูปแบบ E-Commerce โดยราคาหุ้นของ Fast Retailing ให้ผลตอบแทน 25.5% ในปี 2018
- Square Inc หนึ่งในบริษัท Fintech ผู้พัฒนาระบบรองรับการจ่ายเงินผ่านอุปกรณ์พกพา รวมถึงพัฒนาระบบโปรแกรมเพื่อช่วยให้ภาคธุรกิจขนาดกลาง-เล็ก เข้าถึงระบบการชำระเงินและจัดการข้อมูลในด้านต่างๆ ตั้งแต่ ใบเสร็จ สินค้าคงคลัง รายงานการขาย ไปจนถึงวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้า รวมถึงการให้สินเชื่อออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันในมือถือให้กับธุรกิจขนาดเล็ก โดยมียอดการชำระเงินออนไลน์ผ่านระบบเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้ง Square ได้พิสูจน์แล้วว่าผลิตภัณฑ์เป็นที่ต้องการของลูกค้า โดยเชื่อว่า Square จะสามารถดึงดูดลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ได้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังคงเป็นผู้นำในตลาดการชำระเงินของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยในปี 2018 หุ้นของ Square ให้ผลตอบแทน 61.7% แม้ว่าจะลดลงอย่างรุนแรงถึง 43% ในไตรมาส 4 ด้วย Sentiment ของตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยประกอบกับการประกาศลาออกของ CFO ของบริษัท
- China Mobile ผู้นำทางด้านการให้บริการด้านเครือข่ายสื่อสารทั้งด้านเสียง ข้อความ และข้อมูลทั้งในจีนและฮ่องกง รวมถึงเป็นผู้พัฒนาแอปพลิเคชันทางด้านความบันเทิงต่างๆ เช่น เกมส์ วิดีโอ เพลง เป็นต้น โดยบริษัทได้รับประโยชน์จากการเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและสัดส่วนของใช้ Smart Phone ของประชากรจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันราคาหุ้นของ China Mobile ให้ผลตอบแทน -5% ในปี 2018 นับว่าปรับตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับการลดลงของดัชนี MSCI China ที่ -18.9%