สรุปภาวะตลาดหุ้นกลุ่มโกลบอลเฮลธ์แคร์
หุ้นกลุ่มโกลบอลเฮลธ์แคร์ในปีนี้เมื่อพิจารณาจากดัชนี MSCI World Healthcare เพิ่มขึ้นน้อยกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่น อาทิ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มพลังงาน กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย กลุ่มสาธารณูปโภค เป็นต้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเฮลธ์แคร์เคยสร้างผลตอบแทนเป็นอันดับหนึ่งในปีที่แล้ว (แท่งสีฟ้า) โดยให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนี MSCI AC World Net ถึง 11% ในปีก่อนหน้า (2018)
กราฟแสดงผลตอบแทนดัชนี MSCI จำแนกตามรายกลุ่มอุตสาหกรรมในปีนี้ถึงสิ้นเดือน มี.ค. (แท่งสีน้ำเงิน) เทียบปีที่แล้ว (แท่งสีฟ้า) ตามลำดับ
กองทุนหลัก Wellington Global Healthcare Equity Fund
ปิดไตรมาสแรกผลตอบแทนเพิ่มขึ้น +14.3% สูงกว่าดัชนี MSCI World Healthcare Net ที่ทำได้เพียง +8.1% ผลตอบแทนที่ดีกว่าดัชนีนั้น มาจากหุ้นส่วนใหญ่ที่กองทุนหลักลงทุนในกลุ่มชีวเภสัชกรรมขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีสัดส่วนประมาณ 35-40% ราคาหุ้นฟื้นตัว หุ้นดังกล่าวราคาได้เคยลดลงแรงในช่วงไตรมาสสี่ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดประเมินโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนั้นมีสูง แต่ท้ายที่สุด กลับไม่ได้เป็นอย่างที่นักลงทุนคาด
ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะธนาคารกลางสหรัฐฯ เผชิญแรงกดดันทางการเมืองจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการให้คงหรือลดดอกเบี้ยลงแทนการขึ้นดอกเบี้ย หุ้นถือครองในกลุ่มชีวเภสัชกรรมขนาดกลางและขนาดเล็กจึงดีดตัวขึ้นแรงบนพื้นฐานความสามารถในการทำกำไรสุทธิที่เติบโตต่อเนื่อง เช่น บริษัท Portola Pharmaceutical (+77.7%) บริษัท Spark Therapeutics (+190%)
กระนั้นก็ดี วันที่ 13-17 เม.ย. ซึ่งตรงกับช่วงวันหยุดสงกรานต์ไทย ดัชนีหุ้นกลุ่มโกลบอลเฮลธ์แคร์ลดลงอย่างหนักในเวลาเพียงสัปดาห์เดียวถึง -6.00% จนทำให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงวันที่ 17 เม.ย. เหลือเพียง +1.9% เหตุจากการเมืองสหรัฐฯ ที่มีการหยิบยกประเด็น “Medicare for All” ขึ้นมาเล่นอีกครั้ง แน่นอนว่าเป็นเพียงการฟาดฟันกันทางวาทกรรมของสองฟากการเมือง เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นแล้วในปี 2016 สมัยชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 45
ทั้งนี้กองทุนหลักมองไปข้างหน้าว่า “Medicare for all” ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ด้วยปัจจัยดังนี้ คือ
- มีต้นทุนสูง รัฐบาลสหรัฐฯ จะต้องใช้งบเพิ่มขึ้นอีกราว 33 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในอีก 10 ปีข้างหน้า แน่นอนว่าจะกระทบกับการจัดสรรงบประมาณหลัก เช่น งบตำรวจ งบด้านความมั่นคง ฯลฯ ปัจจุบันตัวเลขงบประมาณรายจ่ายของสหรัฐฯ อยู่ที่ 4.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีเป็นเม็ดเงินที่สูงเกินพออยู่แล้ว สหรัฐฯ คงไม่ได้ต้องการสร้างหนี้เพิ่มขึ้นอีกมากมายขนาดนั้น อีกทั้งหนี้ที่เกิดจากการดำเนินนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ก็ยังไม่ลดลง
- การออกกฏหมายกระทำได้เฉพาะบางประเด็น หากพรรครีพับลิกันซึ่งเป็นฝ่ายบริหารต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างระบบเฮลธ์แคร์สหรัฐฯ จะกระทำได้เฉพาะในส่วนที่ไม่ต้องอาศัยวุฒิสภาเท่านั้น ผลกระทบต่อโครงสร้างธุรกิจเฮลธ์แคร์สหรัฐฯ จึงมีจำกัด
- ความพึงพอใจของคนไข้ชาวอเมริกันยังอยู่ในเกณฑ์ดี หากเทียบกับบริการทางการแพทย์ของสหรัฐฯ กับประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ พบว่า ผู้ป่วยใช้ระยะเวลารอคอยที่สั้นกว่า คุณภาพด้านการรักษา คุณภาพของตัวยา ทำให้ชาวอเมริกันส่วนใหญ่มีความพอใจที่สูงกว่าประเทศอื่น การใช้สวัสดิการ “Medical for All” เช่นเดียวกันกับประเทศสหราชอาณาจักร จึงเป็นไปได้ยากเพราะชาวอเมริกันส่วนใหญ่คงไม่สนับสนุนให้รัฐใช้ระบบเดียวกันกับทุกคน
ดังนั้นในช่วงที่ตลาดหุ้นเฮลธ์แคร์มีการ Sell off จึงเป็นโอกาส/จังหวะเข้าลงทุน สำหรับผู้ที่เล็งเห็นโอกาสในการลงทุนระยะยาว หุ้นกลุ่มโกลบอลเฮลธ์แคร์ถูกมองว่าถูกลงอย่างรวดเร็ว (หลังราคาร่วงลง) เทียบกับศักยภาพความสามารถในการสร้างรายได้และกำไรในอนาคต
สรุปผลการดำเนินงานของกองทุนหลักในไตรมาสแรก
Performance Attribution in 1Q2019
Positive contributors (1 January – 31 March 2019)
1.Spark Therapeutics (น้ำหนักลงทุนในพอร์ตสิ้นไตรมาส 0.0%, ราคาหุ้นสิ้นไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น +190.0%)
Sub-Sector: Biopharma Mid Cap
ทำธุรกิจวิจัย พัฒนารักษาโรคที่เกิดขึ้นจากพันธุกรรม เช่น โรคตาบอดสี ฮีโมฟีเลีย ในเดือน ก.พ. บริษัทได้รับการเสนอซื้อกิจการจากบริษัท Roche ในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดถึง 122% ราคาหุ้นจึงพุ่งขึ้นจาก 50 ดอลลาร์สหรัฐ ในวันที่ 21 ก.พ. เป็น 113 ดอลลาร์สหรัฐ ในวันที่ 25 ก.พ. กองทุนหลักใช้จังหวะที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นแรงขายทำกำไรออกไป ท่ามกลางกระแสความสนใจขอบบริษัทยาขนาดใหญ่ที่เล็งซื้อกิจการของธุรกิจยีนบำบัด
2. Portola Pharmaceutical (น้ำหนักลงทุนในพอร์ต 1.60%, ราคาหุ้นสิ้นไตรมาส 1Q19 เพิ่มขึ้น +77.7%)
Sub-Sector: Biopharma Mid Cap
บริษัททำธุรกิจค้นคว้าทดลองยาไบโอเทคจนอยู่ในระยะที่สามารถนำผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ไปหารายได้ในเชิงพาณิชย์ได้แล้ว ด้วยความเชี่ยวชาญด้านโรคที่เกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด Portola Pharmaceutical ประกาศงบไตรมาสล่าสุดเพิ่มสูง ตัวยาตัวใหม่ที่ชื่อว่า “Andexxa” ผ่านการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ไปแล้วตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2018
3. Invitae (น้ำหนักลงทุนในพอร์ต 1%, ราคาหุ้นสิ้นไตรมาสแรกเพิ่มขึ้น +112.0%)
Sub-Sector: Medical Technology
เป็นบริษัทที่มีจุดเด่นด้านการถอดรหัสพันธุกรรมยีนมนุษย์ เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์การแพทย์นำมาวิเคราะห์ผลเชิงลึก บริษัททำการเปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ชื่อว่า “non-invasive prenatal screening” ต้นปีก่อน อีกทั้งเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนที่ราคา 5 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น กองทุนหลัก ได้รับหุ้นจัดสรรดังกล่าวและถือครองจนราคาหุ้นเพิ่มขึ้นห้าเท่าตัว จาก 5 เป็น 25 ดอลลาร์สหรัฐ ในเวลาเพียงปีเดียว อย่างไรก็ตามจะยังคงถือลงทุนต่อไปเพราะมองว่ารายได้จากการทดสอบยีนเป็นธีมระยะยาวทางการแพทย์ รายได้ในส่วนนี้น่าจะเพิ่มขึ้นถึงสามเท่าตัวภายในระยะเวลาอีกไม่กี่ปี จากความต้องการในแขนงกุมารเวชศาสตร์ วิทยามะเร็ง เนื้องอก และประสาทวิทยา
Negative contributors (1 January – 31 March 2019)
1. Eisai (น้ำหนักลงทุนในพอร์ต 1.50%, ราคาหุ้นสิ้นไตรมาสแรกลดลง -26.4%)
Sub-Sector: Biopharma Mid Cap
ราคาหุ้นไตรมาสแรกลดลงมากกว่าดัชนี เหตุจากพันธมิตรของบริษัทที่ชื่อว่า Biogen ประกาศถอนตัวยาระยะทดลองเฟส 3 เพราะให้ผลลัพธ์ไม่เป็นที่น่าพอใจ ยาดังกล่าวมีชื่อทางการแพทย์ว่า “Aducanumab”
“Aducanumab” เป็นความหวังในวงการแพทย์ว่าจะลดปริมาณกลุ่มแผ่นโปรตีน Amyloid plagues ซึ่งเป็นโปรตีนที่ผิดปกติและล้อมรอบกับเซลล์ประสาทที่เสื่อมของผู้ป่วยอัลไซเมอร์ลง โดยปกติสมองของผู้ป่วยอัลไซเมอร์จะถูกห้อมล้อมด้วยกลุ่มแผ่น Amyloid plagues ทำให้เนื้อสมองในส่วน Hippocampus และ Entorhinal cortex ที่เกี่ยวกับความจำฝ่อลง (ตามรูป)
2. Bristol-Myers Squibb (น้ำหนักลงทุนในพอร์ต 70%, ราคาหุ้นสิ้นไตรมาสแรกลดลง -7.4%)
เป็นบริษัทในกลุ่ม Biopharma Large Cap
สาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นลดลงเพราะบริษัทประกาศซื้อบริษัทผู้ผลิตยาสัญชาติสหรัฐฯชื่อ Celgene
2.1 การควบรวมเกิดในลักษณะที่ได้นำบริษัท ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น Undervalued company อย่าง Bristol-Myers Squibb ซึ่งมีมูลค่ากิจการสูงกว่าราคาตลาด ณ ปัจจุบัน ไปซื้อสินทรัพย์ที่ Fully value อย่างบริษัท Celgene ซึ่งมีมูลค่ากิจการเท่ากับราคาตลาดแล้ว
2.2 บริษัท Bristol-Myers Squibb มีตัวยา Biotech กว่า 38 ตัว กว่า 6 ตัวในจำนวนนั้นถูกนำมาพัฒนาทำการตลาดแล้ว บริษัทดีๆ อย่างบริษัท Bristol-Myers Squibb จึงมีทางเลือกอื่นอีกมากที่จะสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น โดยไม่ต้องผ่านการควบรวม (M&A) ครั้งนี้ก็ได้
2.3 ยารักษามะเร็งโลหิตของบริษัท Celgene ที่ใช้รักษาความผิดปกติของพลาสมาเซลล์ ซึ่งเป็นกลุ่มของเซลล์เม็ดเลือดขาว ชื่อว่า “Revlimid” ของบริษัท Celgene กำลังจะหมดอายุลงในปี 2022
*Source: Wellington Management ณ สิ้นเดือน มี.ค.2019
ปัจจัยบวกและลบต่อหุ้นกลุ่มโกลบอลเฮลธ์แคร์
(+) ผลลัพธ์การทดลองยาเชิงวิทยาศาสตร์การแพทย์ในเฟสสุดท้ายกำลังจะปะทุในอีก 12-24 เดือนข้างหน้ายาจำนวนหลายตัว อาทิ ยาที่ใช้รักษาโรคอัลไซเมอร์ มะเร็ง ผลลัพธ์ที่ว่านี้จะทำให้บริษัทผู้วิจัยยาไบโอเทคซึ่งผ่านการทดลองผิดทดลองถูกมาอย่างยาวนาน สามารถทำตลาดในเชิงพาณิชย์ได้ จึงสร้างรายได้หลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯให้กับบริษัทไบโอเทคผู้ทดลองยา
กราฟ: แสดงแขนงของนวัตกรรมด้านการรักษาโรคที่กำลังจะปะทุหลังผ่านการศึกษาวิจัยมาอย่างยาวนาน
คำอธิบายตัวย่อทางการแพทย์
BACE หมายถึง โมเดลที่ใช้รักษาอัลไซเมอร์ได้สำเร็จโดยลดการผลิต amyloid beta ภายในสัตว์ลง
TAU หมายถึง แอนตี้บอดี้
Amyloid-beta หมายถึง กรดอะมิโน ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของคราบแอมีลอยด์ พบได้ในโรคสมองเสื่อมบางชนิดเช่น Lewy body dementia
RNAi หมายถึง กระบวนการในการควบคุมการแสดงออกของลักษณะทางพันธุกรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งพบทั้งในพืช สัตว์ และมนุษย์
mRNA หมายถึง การเรียงลำดับของนิวคลีโอไทด์ที่ Complement กับข้อมูลทางพันธุกรรมที่บริเวณจำเพาะของ DNA ในส่วนที่เป็นยีนส์
RPE65 หมายถึง ยีนส์ที่จำเป็นต่อการมองเห็นปกติ
DMD หมายถึง โรคกล้ามเนื่อเจริญผิดเพี้ยน
TTR หมายถึง การตรวจประเมินโปรตีนและลิ่มเลือด
XLH หมายถึง ภาวะฟอสเฟตในเลือดต่ำทางพันธุกรรมที่พบได้ยาก ผู้ป่วยมีการขับถ่ายฟอสเฟตออกทางปัสสาวะปริมาณมาก สาเหตุมาจากการกลายพันธุ์ของยีน
Source: Wellington Management, March 2019
(+) ท่ามกลางแรงกดดันทางการเมืองที่ต้องการให้บริษัทผู้ผลิตยาสหรัฐฯ ลดราคายาลง กระนั้นก็ตาม RX Saving solutions ซึ่งเป็นผู้ผลิตซอร์ฟแวร์เพื่อให้ช่วยนายจ้างสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านยาของพนักงานตนเองลงนั้น ชี้ว่ายาจำนวน 2,862 รายการจากทั้งหมด 3,000 รายการของสหรัฐฯ ในไตรมาสแรกปีนี้มีราคาสูงขึ้นเฉลี่ย 11.3% เทียบกับ 8.6% ในไตรมาสแรกของปีก่อนหน้า แรงกดดันทางการเมืองที่จะหยุดหรือชะลอการเพิ่มขึ้นของราคายาตามใบสั่งแพทย์จึงส่งผลน้อยมากต่อบริษัทผู้ผลิตยาสหรัฐฯ
(+) ค่าใช้จ่ายเฮลธ์แคร์สหรัฐฯ เทียบจีดีพี ยังคงแตะระดับสูงที่สุดในโลกที่ระดับ 18% จึงเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างเม็ดเงินได้อย่างมหาศาลให้กับกิจการ
(+) ผู้บริหารกองทุนหลัก (Lead portfolio managers) ซึ่งมีประสบการณ์บริหารหุ้นเฮลธ์แคร์มาตลอด 28 ปีกล่าวว่าไม่เคยเจอช่วงเวลาไหนที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเช่นนี้มาก่อนสร้างความตื่นเต้นให้กับทีมงานโกลบอลเฮลธ์แคร์มาก
(+) คนไข้ที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรังได้รับการรักษาที่ยาวนานขึ้น มีอายุขัยมากขึ้น
(+) โอกาสของเฮลธ์แคร์ในตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะจีนที่มีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนายาไบโอเทคสูงเป็นอันดับสองของโลกรองจากสหรัฐฯ และความต่อเนื่องของนวัตกรรมด้านการวินิจฉัย ป้องกัน รักษาโรค
(+/-) ระดับ Valuation หุ้นเมื่อวัดจากดัชนี MSCI World Healthcare ในภาพรวมอาจจะดูเหมาะสมเมื่อวัดจากการประเมินมูลค่าหุ้นที่ใช้กันโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการหามูลค่าหุ้นด้วยวิธีมูลค่าปัจจุบันของเงินปันผล DDM (Divident discount model) หรือมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับ FCF (Free cash flow method) แต่อย่างลืมว่า! หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์มีลักษณะเฉพาะ เราไม่สามารถประเมินมูลค่าหุ้นด้วยโมเดลดั้งเดิมเพราะการวิเคราะห์หาราคาหุ้นที่เหมาะสมของบริษัทวิจัยทดลองยาไบโอเทคไม่สามารถทำได้ ผู้จัดการกองทุนประเมินมูลค่าหุ้นด้วยโมเดลความเป็นไปได้ของผลลัพธ์ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific data)
(-) แม้กองทุนฯหลักจะเชื่อว่า “Medical for All” ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ แต่วาทกรรมของผู้นำสหรัฐฯจะยังคงส่งผลต่อจิตวิทยาผู้ลงทุนต่อเนื่องไปจนถึงการเลือกตั้งสมัยหน้า 2020 หลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลทรัมป์ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเขามีความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงกฏหมายการ Rebate เงินคืนให้กับสถานพยาบาลที่ได้จ่ายยาให้ผู้ป่วยไปในช่วงก่อนหน้าใน แรงกดดันดังกล่าวส่งผลตรงกับ Supply Chain ของบริษัทผู้ผลิตยา
คำถามและคำตอบสำคัญสำหรับผู้ถือหน่วยลงทุน
1.การเข้ามาของเทคโนโลยีดิจิทัลเฮลธ์ และปัญญาประดิษฐ์ ในระยะหลัง กองทุนหลักจะมีการปรับพอร์ตหรือวางพอร์ตอย่างไร เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนี (อัลฟ่า) ในอีกหนึ่งปีข้างหน้า
หุ้นถือครองอันดับสองและสาม ของกองทุนหลักที่ ชื่อว่า UnitedHealth Group และ Anthem ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มผู้ให้บริการทางการแพทย์ ธุรกิจของทั้งสองบริษัทนั้นมีการประยุกต์ใช้ Data Analytic, AI, Algorithm เพื่อลดต้นทุนลง เชื่อว่าจะส่งผลบวกต่อกำไรสุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
2.จีนจะกีดกันคู่แข่งต่างชาติที่ต้องการการเข้ามาเจาะตลาดในประเทศหรือไม่ และการที่รัฐบาลปักกิ่งควบคุมโครงสร้างราคายาจะส่งผลอย่างไร?
จีนกีดกัน เพราะต้องการเป็นเจ้าตลาดในประเทศตนเองไม่เฉพาะทางด้านเทคโนโลยี เฮลธ์แคร์ก็เช่นกัน บริษัทสัญชาติสหรัฐฯ เช่น Intruda ซึ่งมีตัวยารักษาการผ่าเหล่าของเซลล์มะเร็ง บริษัทไบโอเทคจีนทื่ชื่อว่า Beigine ก็สามารถผลิตยาประเภทเดียวกันได้เช่นกันและได้รับการอนุมัติจาก FDA ของจีนด้วย ดังนั้นการแข่งขันจึงสูงขึ้นแน่นอน การที่มียาในตลาดจีนมากขึ้นจึงเป็นการยากต่อบริษัทข้ามชาติเพราะบริษัทยาในประเทศย่อมได้เปรียบจากเงินช่วยเหลือผู้ป่วยที่ใช้สวัสดิการภาครัฐ
กลยุทธ์ของ Wellington Global Health Care Equity Portfolio
เน้นการเติบโตของเงินลงทุนผ่านการลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทที่ทำธุรกิจทางด้านเฮลธ์แคร์ ด้วยการลงทุนที่หลากหลายทั้งในธุรกิจย่อย (Sub-Sector) มูลค่าตลาดของหลักทรัพย์ลงทุน และภูมิภาคต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วโลก
กองทุนหลัก (Master Fund)
ชื่อ: Wellington Global Health Care Equity Portfolio ชนิดหน่วยลงทุน Class S (Accum-USD)
วัตถุประสงค์การลงทุน: แสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาวในหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ทั่วโลก
Investment style: คัดสรรหุ้นรายตัวแบบ Bottom up ด้วยปัจจัยพื้นฐาน เน้นบริษัทที่มีมูลค่ากิจการแข็งแกร่ง
วันจดทะเบียน: October 2003
ประเทศที่จดทะเบียน: ไอร์แลนด์
สกุลเงิน: USD
เกณฑ์วัดผลการดำเนินงาน (Benchmark): MSCI World Healthcare Net
Morningstar Category: Large cap growthBloomberg (A): WGHCEPA ID
Fund Size: USD 2.3 billion
NAV: USD 59.54
Number of holdings: 127
ผลการดำเนินงานกองทุนย้อนหลัง (ข้อมูลเดือน มี.ค. 2019)
ข่าวความเคลื่อนไหวที่น่าติดตามของหุ้นกลุ่มโกลบอลเฮลธ์แคร์
Swiss Pharmaceuticals update as of 10 Apr 19:
Novartis (Bloomberg code: NOVN: SW, ราคาหุ้น 83.54 CHF) บริษัทยา ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่เมืองบาเซิล เมืองเล็กๆ น่ารักทางตอนเหนือของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หุ้นถือครองอันดับ 7 ของกองทุนหลัก BCARE และ BCARERMF ตั้งเป้าซื้อกิจการบริษัทยา ด้วยมูลค่าดีลควบรวมในปีนี้ที่ไม่เกิน 5% ของมูลค่าตลาดบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ หรือไม่เกิน 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปัจจุบัน Market cap = 200 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เป้าหมายเพื่อเพิ่มผลตอบแทนส่วนของผู้ถือหุ้น (Shareholder’s return) ไปพร้อมๆ กับปูแผนอนาคตบริษัทไปสู่บริษัทที่เน้นนวัตกรรมมากขึ้น
และมีแนวคิดที่จะสละ (Spin off) ธุรกิจ eyecare ออกไป โดยหันมาเน้นธุรกิจหลักซึ่งคือ การพัฒนานวัตกรรมยาใหม่ๆ ตั้งแต่เดือน ก.พ. 2018 บริษัทได้จำหน่ายธุรกิจประเภท Generic Drug ซึ่งมองว่าจะไม่ใช่ธุรกิจหลักอีกต่อไป เห็นได้จากการทำ Join venture กับบริษัท Sandoz บริษัทยาสัญชาติสหรัฐฯ (ถือครองหุ้น Novartis สัดส่วน 3.49%)
การที่ Novartis หันมาเน้น High margin product จากยาชีววัตถุคล้ายคลึง (Bio similar) เพราะต้องการสร้างรายได้จาก “ยาสิทธิบัตร” จากค่ายอื่นที่หมดอายุลงนั่นเอง
Note:
- ราคาหุ้นบริษัท Novartis เพิ่มขึ้นกว่า 20% ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
- Development project ที่บริษัท Novartis เชี่ยวชาญ อาทิ
- มะเร็งวิทยา (Oncology): Chronic/acute myeloid leukemia, Alzheimer’s disease, Lung cancer (แผนยื่น Filing ปี 2023)
- ประสาทวิทยา (Neuroscience): Spinal Muscular atrophy (แผนยื่น Filing ปี 2023)
- ปลูกถ่ายตับและถุงน้ำดี (Hepatology): Solid organ transplantation (แผนยื่น Filing ปี 2023)
- ระบบทางเดินหายใจ (Respiratory): Severe asthma (แผนยื่น Filing ปี 2022)
United Kingdom Pharmaceuticals update as of 29 March 19:
บริษัทยาสัญชาติสหราชอาณาจักร ชื่อว่า AstraZeneca Plc (บริษัทลงทุนในกองทุนหลัก BCARE น้ำหนักลงทุน 2.80%) บรรลุข้อตกลงกับบริษัทยาสัญชาติญี่ปุ่นชื่อว่า Daiichi Sankyo Co Ltd (ถือครองบางส่วน) ในการพัฒนาและขายยาใช้บำบัดผู้ป่วยมะเร็งปอด (Lung cancer) ชื่อว่า “Trastuzumab Deruxtecan” มูลค่า 6.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง Daiichi Sankyo ถือครองสิทธิบัตรยาตัวนี้อยู่
“มะเร็งปอดเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของคนบนโลกที่ป่วยเป็นมะเร็ง ในปี 2012 คนทั่วโลกมีคนป่วยเป็นมะเร็งปอด 1.8 ล้านคน เข้ารับการรักษา และ 1.6 ล้านคนเสียชีวิต ความคืบหน้าด้านการพัฒนายาด้านนี้มีความจำเป็นสูง” (อ้างอิง ADC directory, last editorial review, September 28, 2018)
มูลค่าการเข้าซื้อ:
- ภายใต้ดีลดังกล่าวบริษัท AstreZeneca จะจ่ายเงินให้บริษัท Daiichi Sankyo จำนวน 6.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (โดยจ่าย Upfront payment 1.35 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ผลประโยชน์ที่ได้:
- ทั้งสองบริษัทจะร่วมมือกันวิจัยพัฒนาและทำการตลาดยาต่อไปในอนาคต
- ข้อดี คือ Daiichi Sankyo มีสิทธิพิเศษในการขายยาในประเทศญี่ปุ่น และถือครองยาใช้บำบัดผู้ป่วยมะเร็งปอดชื่อ Trastuzumab Deruxtecan จึงเป็นประโยชน์กับ AstraZeneca ซึ่งเป็น Existing Global leading pharmaceutical
Source: https://www.adcdirectory.com/news/updated-results-for-fam-trastuzumab-deruxtecan-111 https://clinicaltrials.gov/ct2/show/NCT03523572 https://www.investing.com/news/stock-market-news/daiichi-sankyo-astrazeneca-sign-69-billion-cancer-drug-deal-1821648
ดีลที่เกิดขึ้นต่อเนื่องสอดคล้องกับมุมมองของผู้จัดการกองทุน Wellington Global Healthcare Equity ที่เล็งเห็นว่าขณะนี้เป็นช่วงของวิวัฒนาการการแพทย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับ 28 ปีของการบริหารกองทุนที่ผ่านมา