กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นเพื่อคนรุ่นใหม่ (B-FUTURE)

กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นเพื่อคนรุ่นใหม่ (B-FUTURE)

ภาวะตลาดหุ้นทั่วโลก

ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นตั้งแต่เดือน ต.ค. เป็นต้นมาต่อเนื่องมายังเดือน พ.ย. โดยตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นำโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มเฮลธ์แคร์ ขณะที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นและยุโรปปรับขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบปี ตอบรับข่าวเรื่องความคืบหน้าในการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่คาดว่าจะสามารถลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรกร่วมกันได้ในเร็ววันนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปแล้วทั้งสองฝ่ายยังคงไม่สามารถลงนามเป็นลายลักษณ์อักษรกันได้และการที่ ปธน.ทรัมป์ได้ลงนามร่างกฎหมายสนับสนุนผู้ชุมนุมในฮ่องกง ทำให้เกิดความไม่แน่นอนต่อการเจรจาทางการค้าอีกครั้งและกดดันตลาดหุ้นในช่วงปลายเดือน พ.ย. ต่อเนื่องมายังต้นเดือน ธ.ค.

ในแง่ของผลกำไรบริษัทจดทะเบียนใน S&P 500 ในไตรมาส 3 ลดลง -0.4% เมื่อเทียบรายปี ฉุดโดยผลกำไรของบริษัทในอุตสาหกรรมพลังงานที่ลดลงมากที่สุด ด้วยแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่ลดลงจากช่วงปีก่อนหน้า ขณะที่บริษัทในกลุ่มเฮลธ์แคร์มีอัตราการเติบโตของผลกำไรสูงที่สุด

สำหรับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่กองทุน B-FUTURE ลงทุน โดยในช่วงเดือน ต.ค. หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเมื่อวัดจากดัชนี MSCI World Information Technology Index สร้างผลตอบแทนได้ +4.22% มากกว่าดัชนีตลาดหุ้นโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น +2.76% ทำให้ตั้งแต่ช่วงต้นปีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นไปแล้วมากกว่า +34% แม้ว่าผลประกอบการของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐในช่วงไตรมาส 3/2019 จะปรับตัวลดลงจากปีก่อนหน้าที่ -2% แต่ทว่า บริษัทส่วนใหญ่ในกลุ่มสามารถสร้างผลกำไรได้มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ (Earning Surprise) โดยในเดือน ต.ค. หุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์กลับมาสร้างผลตอบแทนได้เป็นอย่างดี จากความคาดหวังว่าวัฎจักรขาลงของอุตสาหกรรมกำลังจะสิ้นสุดลง และระดับสินค้าคงคลังน่าจะกลับมาสู่ระดับปกติในช่วงปีงหน้า ขณะที่บริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านอินเตอร์เน็ตรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง

กลยุทธ์การลงทุนและมุมมองของผู้จัดการกองทุน

ผู้จัดการกองทุนมองว่าแนวโน้มการลงทุนต่อจากนี้ ภาพรวมเศรษฐกิจโลกมีโอกาสมีเสถียรภาพมากขึ้น จากเหตุการณ์ความเสี่ยงของสงครามการค้าและ Brexit ที่กำลังมีพัฒนาการไปในเชิงบวก ภาคการผลิตทั่วโลกที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น และการอัดฉีดสภาพคล่องจากธนาคารกลางหลักทั้ง Fed, ECB และ BOJ ได้ช่วยลดความผันผวนในตลาดเงิน

ทั้งนี้ ผู้จัดการกองทุนยังคงมองว่าการลงทุนในหุ้นยังเป็นที่น่าสนใจด้วยอัตราผลตอบแทนที่ยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ โดยเฉพาะตราสารหนี้ที่อัตราผลตอบแทนอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องจากการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลาง อีกทั้ง การเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกยังคงเติบโตอยู่ในระดับที่น่าสนใจ อย่างไรก็ตาม ความกังวลหลักของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นโลกยังคงเป็นประเด็นเรื่องการเจรจาทางการค้าที่นักลงทุนจะต้องติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

สำหรับกองทุน B-FUTURE ผู้จัดการกองทุนเน้นการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับของการบริโภค (Consumption Upgrade) และธุรกิจที่เติบโตไปพร้อมกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป โดยให้น้ำหนักกับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจบริการมากกว่าธุรกิจการผลิต และเลือกลงทุนในบริษัทที่ได้รับผลกระทบกับสถานการณ์ด้านสงครามการค้าในระดับจำกัดและมีผลประกอบการที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง

ผู้จัดการกองทุนเชื่อมั่นว่าความผันผวนของตลาดในระยะสั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อ Theme การลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการพัฒนาของเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ เพื่อช่วยให้การดำรงชีวิตในอนาคตมีความสะดวกสบายมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมมูลค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมไปถึงพลังของการบริโภคโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริโภคในเอเชียที่โครงสร้างทางด้านประชากรเอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว รวมถึงแนวโน้มใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นและส่งผลบวกต่อการบริโภคและการลงทุน ทั้งการขยายตัวของสังคมเมือง (Urbanization) และ ความต้องการที่จะบริโภคในสินค้าหรือบริการที่ในระดับราคาที่สูงและมีคุณค่ามากขึ้น (Premiumization)

สำหรับกองทุนต่างประเทศที่กองทุน B-FUTURE ไปลงทุน ณ ปัจจุบัน ประกอบไปด้วย 2 กองทุน ได้แก่ Fidelity Fund-China Consumer และ Allianz Global Artificial Intelligence ซึ่งข้อมูลและมุมมองจากผู้จัดการกองทุนทั้ง 2 กองทุน เป็นดังนี้

  • Fidelity Fund-China Consumer (มีสัดส่วนการลงทุน 34.1%)  ผลการดำเนินงานของกองทุนตั้งแต่ช่วงต้นปี 2019 สามารถปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าเกณฑ์มาตรฐาน นำโดยการเพิ่มขึ้นของหุ้นในกลุ่ม IT และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น (Consumer Staple)  ขณะที่หุ้นกลุ่มการเงินโดยเฉพาะประกันสร้างผลตอบแทนติดลบให้กับพอร์ตการลงทุน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์ประท้วงในฮ่องกงที่ยืดเยื้อและส่งผลต่อเนื่องมายังเศรษฐกิจ และภาคการเงินซึ่งฮ่องกงนับเป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาคได้รับผลกระทบไปด้วย ทั้งนี้ ผู้จัดการกองทุนมองว่า นอกจากพัฒนาการเชิงบวกในการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐแล้วนั้น การใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการบริโภคจากภาครัฐบาล เช่น การปรับลดอัตราส่วนเงินทุนสำรองของธนาคารพาณิชย์ แผนการผ่อนคลายกฎเกณฑ์การซื้อรถประเภทรถที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะช่วยสนับสนุนการลงทุน และการบริโภคภายในประเทศของจีนในระยะถัดไป โดยผู้จัดการกองทุนยังคงชื่นชอบและเน้นการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจยุคใหม่ของจีน (New China) ซึ่งเชื่อว่าบริษัทเหล่านี้จะมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพใน 3-5 ปีข้างหน้า ด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศจีน โดยเน้นบริษัทที่มีกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ยืดหยุ่น โดย ณ ปัจจุบัน ผู้จัดการกองทุนมีมุมมองเชิงบวกต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค เฮลธ์แคร์ การพัฒนาเทคโนโลยี 5G  และธุรกิจประกัน
  • Allianz Global Artificial Intelligence (มีสัดส่วนการลงทุน 43.3%)  ผลการดำเนินงานของกองทุนตั้งแต่ช่วงต้นปี 2019 ปรับเพิ่มขึ้นได้เป็นอย่างดี ตามตลาดหุ้นทั่วโลกโดยเฉพาะสหรัฐ ด้วยกองทุนมีสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ ประมาณ 87% อีกทั้ง หุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งเป็นกลุ่มที่กองทุนมีสัดส่วนการลงทุนสูงสุดปรับตัวขึ้นได้เป็นอย่างดีจากสถานะสินค้าคงคลังที่ดีขึ้น จากภาวะอุปสงค์และอุปทานในตลาดที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น ขณะที่การเข้าลงทุนใน ROKU ผู้ผลิตอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการเชื่อมต่อโทรทัศน์สำหรับการเล่นสตรีมมิ่งตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกของปีนี้เป็นประโยชน์ต่อกองทุนเป็นอย่างมาก โดย ROKU เป็นหนึ่งในหุ้นที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้เป็นอันดับต้นของหุ้นที่อยู่ในพอร์ต ในช่วงที่ผ่านมาผู้จัดการกองทุนได้ขายหุ้นหลายบริษัทที่มูลค่าหุ้นขึ้นมาสูงมากเกินไปเมื่อเทียบกับการเติบโตของบริษัทในอนาคตรวมถึงบริษัทที่การปฏิบัติงานล่าช้ากว่าแผนที่วางไว้ออกจากพอร์ตการลงทุน เช่น Electronic Art , Activision Blizzard เป็นต้น ขณะที่มีเข้าลงทุนเพิ่มในบริษัทซอฟต์แวร์หลายแห่งไม่ว่าจะเป็นในด้านของ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) และซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องกับการติดต่อสื่อสาร  จากความสามารถในการทำกำไรในอนาคต และความต้องการของตลาดต่อผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยผู้จัดการกองทุนมีมุมมองเชิงบวกอย่างมากต่อพัฒนาการของปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเห็นการนำเอา AI เข้ามาปรับใช้ในธุรกิจ หรือการดำรงชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงการพัฒนาของนวัตกรรมใหม่ๆ จะช่วยสร้างโอกาสในการลงทุนให้แก่นักลงทุน

ตัวอย่างหุ้นในพอร์ตการลงทุนของกองทุน B-FUTURE

  • Roku, Inc ผู้ผลิตอุปกรณ์ Set Top Box โดยผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงช่องรายการทีวี  ซีรีส์ ข่าว ภาพยนต์ และรายการต่างๆ ผ่าน Roku Channel เช่น HBO, Netflix เป็นต้น โดยมีรายได้ผ่าน 2 ช่องทางหลักคือ รายได้จากการขายอุปกรณ์ และรายได้จาก Platform ซึ่งนับเป็นรายได้ส่วนที่มีการเติบโตมากที่สุดทั้งค่าโฆษณาและค่าบริการส่วนของ Video on Demand ทั้งนี้ ROKU ใช้ปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยคัดสรรรายการและโฆษณาที่น่าสนใจเฉพาะสำหรับแต่ละบุคคล ราคาหุ้น ROKU นับตั้งแต่ช่วงต้นปีปรับตัวขึ้นมากกว่า 340% หนุนโดยผลประกอบการที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ด้วยราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมาแรงมากนี่เอง ทำให้ ROKU เผชิญกับแรงเทขายทำกำไรในช่วงเดือน ก.ย. และ ต้นเดือน ธ.ค. ทั้งนี้ ในช่วงเดือน ต.ค. ROKU ได้ทำการเข้าซื้อกิจการของ Dataxu ผู้ให้บริการด้านการซอฟต์แวร์ทางการตลาดที่ช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถวางแผนการซื้อโฆษณาได้ตรงตามเป้าหมาย โดย ROKU คาดว่าการเข้าซื้อ Dataxu จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของรายได้ค่าโฆษณานับตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4 เป็นต้นไป อีกทั้ง เชื่อว่า ROKU จะยังคงรักษาการเป็นผู้นำตลาดได้ด้วยความครบครันของ Content ใน Platform รวมถึงกลยุทธ์ที่ร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตโทรทัศน์ที่จะติดตั้งอุปกรณ์ของ ROKU เข้าไปไว้กับโทรทัศน์เลย ทำให้ผู้ใช้บริการไม่ต้องซื้ออุปกรณ์แยกต่างหาก
  • Lululemon Athletica Inc. บริษัทสัญชาติแคนาดา ผู้ออกแบบ ผลิตและจัดจำหน่ายเสื้อผ้าและอุปกรณ์สำหรับออกกำลังกายภายใต้แบรนด์ Lululemon และ ivivva โดยที่ LULU ขยายการขายผลิตภัณฑ์ผ่านร้านค้าของตัวเอง วางขายในร้านค้าของธุรกิจที่เป็นพาร์ทเนอร์ เช่น ฟิตเนส สถานที่เล่นโยคะ รวมถึงช่องทางออนไลน์ ผู้จัดการกองทุนชื่นชอบ LULU ด้วยความแข็งแกร่งของแบรนด์ และมีกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจและการตลาดที่ชัดเจน มีการพัฒนานวัตกรรมในสินค้าสม่ำเสมอ โดยตั้งแต่ต้นปี 2019 ราคาหุ้นของ LULU ให้ผลตอบแทนมากกว่า 80%
  • ZTO Express บริษัทขนส่งพัสดุรายใหญ่ของจีนมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงที่สุด (18.9% ในไตรมาส 3 ปี 2019) ตลาดซื้อขายออนไลน์ของจีนสามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่นต่อเนื่องด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่มุ่งเข้าสู่ออนไลน์มากขึ้น แม้ว่าการแข่งขันในอุตสาหกรรมจะอยู่ในระดับสูงจนกระทั่งกดดันให้ราคาค่าขนส่งที่คิดกับลูกค้าต้องลดลง ทว่า ZTO มีความได้เปรียบคู่แข่งรายอื่นในด้านของการประหยัดต่อขนาด (Economy of scale) และการที่มีศูนย์กระจายสินค้าเยอะที่สุดทำให้ได้เปรียบในเรื่องการจัดส่ง โดยตั้งแต่ต้นปี 2019 ราคาหุ้นของ ZTO ให้ผลตอบแทนประมาณ 29% หนุนโดยการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของยอดการส่งพัสดุที่โตได้กว่า 46% เมื่อเทียบรายปี

ผลการดำเนินงานของกองทุน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ต .ค. 2019)

ประวัติการจ่ายเงินปันผล