กองทุนบัวหลวงเชื่อมั่นการเติบโตของหุ้นจีนใน B-CHINE-EQ พร้อมแนะนำนักลงทุนควรเพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นจีนมากขึ้นในพอร์ตการลงทุน

กองทุนบัวหลวงเชื่อมั่นการเติบโตของหุ้นจีนใน B-CHINE-EQ พร้อมแนะนำนักลงทุนควรเพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นจีนมากขึ้นในพอร์ตการลงทุน

กองทุนบัวหลวงเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของหุ้นจีน ผ่านกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน (B-CHINE-EQ) ซึ่งเป็นกองทุนหุ้นจีนที่มีความแตกต่างและโดดเด่นในตลาด โดยมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนน้ำหนักการลงทุนในกองทุนแม่ รวมทั้งยังลงทุนตรงได้บางส่วน พร้อมกันนี้ยังแนะนำนักลงทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกองทุนหุ้นจีนมากขึ้น 

คุณพีรพงศ์  จิระเสวีจินดา

นายพีรพงศ์  จิระเสวีจินดา  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด หรือ กองทุนบัวหลวง เปิดเผยว่า กองทุนบัวหลวงแนะนำให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกองทุนหุ้นจีนมากขึ้น เนื่องด้วยเล็งเห็นศักยภาพการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนจีนในหลายอุตสาหกรรมสำหรับอนาคตระยะยาว

“ตลาดหุ้นจีนน่าสนใจที่จะลงทุน เนื่องจากจีนจะมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกภายใน 10 ปีข้างหน้า หรือปี 2573 ตามการคาดการณ์ของอลิอันซ์ โกลบอล อินเวสเตอร์ (Allianz Global Investors หรือ AGI) อันจะเป็นโอกาสการลงทุนที่สำคัญสำหรับนักลงทุน โดยในขณะนี้ ตลาดหุ้นจีนมีหุ้นในหลายอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เช่น บริษัทที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค บริษัทที่ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์เทคโนโลยีด้าน 5G/Internet of Things ซึ่งรัฐบาลจีนมีนโยบายส่งเสริมอย่างมาก หรือ วัตถุดิบตั้งต้นที่ใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตยาและวัคซีน เป็นต้น ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ส่วนใหญ่จดทะเบียนในตลาด A-shares

ในขณะที่อัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio) ยังไม่ถือว่าสูงมากนัก และราคาหุ้นที่ปรับขึ้นช่วงที่ผ่านมา ก็มีปัจจัยพื้นฐานรองรับมาจากผลการดำเนินงานที่ดี แตกต่างจากปี 2558 ที่มูลค่าหุ้นแพงเกินจริง เพราะผลการดำเนินงานไม่สอดคล้องกับราคา” นายพีรพงศ์ กล่าว

นายสันติ ธนะนิรันดร์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน กองทุนบัวหลวง กล่าวว่า กองทุนบัวหลวงมีมุมมองต่อตลาดหุ้นจีนที่สอดคล้องกับ AGI ซึ่งเป็นพันธมิตรกับกองทุนบัวหลวง โดยมีความเห็นร่วมกันว่า นักลงทุนควรคว้าโอกาสลงทุนในจีน จากปัจจัยสำคัญ 3 ประการ ได้แก่

  1. จีนสามารถบริหารจัดการเพื่อนำพาเศรษฐกิจผ่านพ้นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ดี ส่งผลให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวก่อนประเทศใดๆ ซึ่งทำให้ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจในอนาคตมีน้อยกว่าประเทศอื่น ทั้งยังกระตุ้นให้เกิดการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจในหลายภาคส่วน เช่น ยกระดับมาตรฐานทางสาธารณสุข การเร่งขึ้นของธุรกรรมออนไลน์ เป็นต้น
  2. ตลาดหุ้นจีนมีเรื่องราวการเติบโตที่นักลงทุนไม่อาจมองข้าม จากการที่จีนเน้นนโยบาย ‘MADE IN CHINA 2025’ หรือการยกระดับศักยภาพของบริษัทโดยมุ่งเน้นการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อทดแทนการนำเข้า และส่งเสริมการบริโภคในประเทศ เช่น หมวดเทคโนโลยีชีวภาพ (ไบโอเทค) เครื่องจักรอุตสาหกรรม อุปกรณ์เทคโนโลยี เช่น 5G/Internet of Things ยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลให้ส่วนภาคธุรกิจอื่นที่มีมูลค่าสูงก็ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและสังคมจีน
  3. ตลาดหลักทรัพย์จีนปรับกฎเกณฑ์เพื่ออำนวยความสะดวกให้บริษัทเข้าไปจดทะเบียนเพื่อการระดมทุนได้ง่ายยิ่งขึ้น และเปิดเสรีให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนในหุ้นจีนกลุ่ม A-Shares ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นได้มากยิ่งขึ้น ทั้งยังส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนมีความโปร่งใสและธรรมาภิบาลที่ดีขึ้น ขณะที่หุ้นกลุ่ม A-Shares ก็ถูกนำไปคำนวณรวมในดัชนี MSCI Emerging Markets Index ทำให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าไปในตลาดหลักทรัพย์ของจีนมากขึ้นในอนาคต

“หากนักลงทุนกำลังมองหาโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้นจีน กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน หรือ B-CHINE-EQ  นับเป็นทางเลือกที่น่าสนใจและมีความแตกต่างในตลาด เนื่องจากกองทุนนี้ มีทั้ง AGI เป็นผู้รับดำเนินงานการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่ง   ในการหาโอกาสลงทุนเชิงรุกแบบคัดสรรหุ้นรายตัวประกอบกับอยู่ใกล้ชิดกับตลาด ทั้งยังมีความรู้ความเข้าใจและความเชี่ยวชาญในตลาดจีนเป็นอย่างดี ขณะเดียวกัน กองทุนบัวหลวงยังมีทีมงานเฟ้นหาโอกาสเลือกลงทุนหุ้นจีนได้เองควบคู่ไปด้วย ในสัดส่วนไม่เกิน 20% ของ NAV ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กองทุนทำผลการดำเนินงานได้น่าพอใจในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา” นายสันติ กล่าว

นายสันติ กล่าวว่า ในส่วนที่กองทุนบัวหลวงลงทุนในหุ้นจีนโดยตรง ที่ผ่านมา ทีมงานมุ่งเน้นการคัดสรรลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของจีน ที่มีการขยายเครือข่ายครอบคลุมหลากหลายธุรกิจสอดคล้องกับธีมการลงทุนของบริษัทในปีนี้ที่ว่า ‘เครือข่ายครอบคลุมสร้างความแข็งแกร่ง บรรษัทแข็งแรงสร้างความยั่งยืน’ ได้แก่ อาลีบาบา ซึ่งเป็นบริษัทอี-คอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ที่ไปลงทุนธุรกิจอื่นๆ เช่น สื่อออนไลน์ เทคโนโลยีการเงิน และเทนเซ็นต์ โฮลดิ้งส์ เจ้าของแอปพลิเคชัน WeChat ซึ่งเป็น Platform หลักสำหรับการทำธุรกิจออนไลน์ที่หลากหลาย

ปัจจุบัน กองทุน B-CHINE-EQ มีการจัดสรรเงินไปลงทุนในหุ้นของบริษัทจีนผ่านหน่วยลงทุนกองทุน Allianz All China Equity Fund และ Allianz China A Shares Equity Fund โดยในรอบ 6 เดือน (ก.พ.-ก.ค. 2563) ของปีนี้ B-CHINE-EQ ให้ผลตอบแทน 25.24% หรือสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ 20.01% และถ้านับระยะเวลา 1 ปี ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2563 กองทุน B-CHINE-EQ ให้ผลตอบแทน 40.92% หรือสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ 26.73%

 

ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจ ลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนขึ้นกับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน

กองทุนบัวหลวง

10 สิงหาคม 2563

ข้อมูลประกอบ

กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน (B-CHINE-EQ) จดทะเบียนจัดตั้งกองทุน เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2561 มีนโยบายเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทตราสารทุนที่ออกโดยบริษัทจีน ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งในประเทศจีนหรือมีการดำเนินธุรกิจในประเทศจีน และจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่เป็นที่ยอมรับต่างๆ เช่น ตลาดหลักทรัพย์ในฮ่องกง จีน ไต้หวัน สิงคโปร์ หรือสหรัฐอเมริกา เป็นต้น สำหรับหลักทรัพย์ที่กองทุนจะลงทุน ได้แก่ หุ้น A-Share, H-Share, American Deposit Recipient (ADR), B-Share, Red-Chips, P-Chips รวมถึงหลักทรัพย์อื่นใดที่เกี่ยวข้องกับประเทศจีนในอนาคต

กองทุน B-CHINE-EQ จะลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศดังกล่าว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ซึ่งมอบหมายให้ Allianz Global Investors Asia Pacific Limited เป็นผู้รับดำเนินงานการลงทุนในต่างประเทศของกองทุน (Outsourced fund manager) ส่วนที่เหลือ กองทุนอาจพิจารณาลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่น รวมถึงตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) และ/หรือ หุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง (Structured Note) และกองทุนอาจลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมภายใต้การจัดการเดียวกันไม่เกิน 20% ของ NAV

กองทุนนี้มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่เกินปีละ 4 ครั้ง หรือตามที่บริษัทจัดการเห็นสมควร ในอัตราครั้งละไม่เกิน 100% จากกำไรสะสม หรือกำไรจากการลงทุนสุทธิ หรือจากการเพิ่มขึ้นในสินทรัพย์สุทธิจากการดำเนินงาน