ประเด็นเด่นในตลาดตราสารหนี้
ในปีที่ผ่านมานับว่าเป็นปีที่หนักสำหรับตลาดตราสารหนี้ไทยที่ต้องเผชิญกับความผันผวนตลอดทั้งปี 2563 เนื่องจากการระบาดของไวรัส Covid-19 ทั่วโลก อีกทั้งยังมีสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น และยังไม่มีแนวทางการรักษาอย่างแน่ชัด รวมทั้งยังไม่มีวัคซีนที่เพียงพอ จนก่อให้เกิดปัญหาวิกฤติทางเศรษฐกิจและตลาดการเงิน ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกต่างลดดอกเบี้ยลงมาในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อเศรษฐกิจในช่วงวิกฤติ
โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐฯ มีการดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงรุกด้วยการลดดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.50% ต่อปี เหลือ 0.00% ต่อปี และประกาศทำอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบการเงิน หรือ QE แบบไม่จำกัดวงเงิน ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลกปรับตัวลงต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ รวมถึงอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยด้วยเช่นกัน โดยอัตราผลตอบแทนปรับลดลงทุกช่วงอายุนับจากต้นปี หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจาก 1.25% มาเป็น 0.75% ต่อปี และลงมาต่ำสุดเหลือ 0.5% ต่อปี เพราะสถานการณ์การของ Covid-19 ยังไม่ดีขึ้น
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยในเดือน ม.ค. 2564 ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงไม่เกิน +10 bp เมื่อเทียบกับสิ้นเดือนก่อน โดยอัตราผลตอบแทนปรับเพิ่มขึ้นมากในพันธบัตรอายุ 4-5 ปี และ 15-22 ปี ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับเพิ่มขึ้นเพียง 1 bp มาอยู่ที่ 1.30% แม้ในเดือนนี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีจะมีความผันผวน โดยเคลื่อนไหวตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นในช่วงต้นเดือน ม.ค. ภายหลังพรรค Democrat ชนะการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกอีก 2 ที่นั่งในรัฐ Georgia ทำให้พรรคได้ครองเสียงข้างมากในสภาครองเกรสทั้ง 2 สภา จึงคาดว่าจะสามารถผลักดันแผนกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ออกมาได้และเป็นปัจจัยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อไป
ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้เงินลงทุนไหลออกจากพันธบัตรสหรัฐฯ ไปยังสินทรัพย์เสี่ยง ขณะที่ตลาดตราสารหนี้มีความกังวลเกี่ยวกับปริมาณพันธบัตรที่จะเพิ่มขึ้นจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ค่อย ๆ ปรับตัวลดลงจากปัญหาการระบาดของ Covid-19 ที่ยังรุนแรงในหลายพื้นที่ ข่าวเรื่องผลข้างเคียงของวัคซีน รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่อาจต้องปรับลดงบประมาณบางส่วนลงหรือการอนุมัติอาจล่าช้าออกไป
ขณะที่ปัจจัยในประเทศ สบน. ประกาศเพิ่มปริมาณการออกพันธบัตรโดยจะประมูลพันธบัตรรุ่น 3 ปี และ 5 ปี มูลค่ารวม 6 หมื่นล้านบาท ในเดือน ก.พ. นี้ ทำให้การออกพันธบัตรในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้นจากประกาศเดิมที่ 1.85 แสนล้านบาท เป็น 2.45 แสนล้านบาท ด้านเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติไหลออกตลาดตราสารหนี้ไทยเล็กน้อย โดยนักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้น 1.9 พันล้านบาท ขณะที่ซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาว 2.0 พันล้านบาท และมีตราสารหนี้ที่นักลงทุนต่างชาติถือครองครบกำหนด 771 ล้านบาท
ส่วนแนวนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี โจ ไบเดน เน้นให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 และกระตุ้นผ่านงบประมาณการคลังขนาดใหญ่เพื่อคาดหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยครอบคลุมถึงประชาชนทุกกลุ่ม อีกทั้งประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีการตั้งแต่งนางเจเน็ต เยลเลน ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีคลัง ถือเป็นสุภาพสตรีคนแรกในประวัติศาสตร์ 231 ปีของสหรัฐฯ ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังฯ ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ และประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ซึ่งมีความต้องการผลักดันงบกระตุ้นเศรษฐกิจให้ผ่านมติสภาคองเกรสให้ได้
ขณะที่ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้มีการลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร ให้นำสหรัฐฯ กลับเข้าสู่ข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งเป็นข้อตกลงว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่หลายประเทศได้ทำร่วมกันเมื่อปี 2558 แสดงให้เห็นการยกระดับความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจัยดังกล่าวจะสนับสนุนการลงทุนในพลังงานสะอาด การให้ความสำคัญกับภาวะโลกร้อน พลังงานทางเลือก รวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างเช่น รถยนต์ไฟฟ้า
ด้านธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ในการประชุมครั้งแรกของ FED ในปีนี้ (2564) ด้านสภาพคล่องธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังเน้นความสำคัญของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ โดยส่งสัญญาณที่จะคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำไปอีกระยะ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของ FED มีมติเอกฉันท์มีมติเป็นเอกฉันท์ (11 – 0) คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00 – 0.25%
นอกจากนี้ FED ระบุว่า จะยังคงซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) วงเงินรวม 1.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ/เดือน โดย FED จะซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ วงเงิน 8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ/เดือน และซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) ในวงเงิน 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ/เดือน ส่วนแถลงการณ์หลังการประชุมของ FED ระบุว่า จะยังคงใช้เครื่องมือทุกอย่างในการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเพื่อให้มีการจ้างงานเต็มศักยภาพ และรักษาเสถียรภาพของราคาจนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง และใช้เป้าหมายเงินเฟ้อแบบเฉลี่ยโดยเงินเฟ้อเฉลี่ยต้องอยู่ในระดับ 2% ถึงจะพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยจากเดิมที่เมื่อเงินเฟ้อแตะระดับ 2% ก็เริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยเลยในทันที
ระหว่างนี้จะยังดำเนินธุรกรรมการซื้อคืนพันธบัตร (QE) เพื่อเสริมสภาพคล่องเข้าสู่ตลาดการเงินอย่างต่อเนื่องซึ่งจะส่งผลบวกต่อตราสารหนี้สหรัฐฯ โดยเฉพาะตราสารหนี้ที่เข้าข่ายการเข้าซื้อของ FED อย่าง Agency MBS, Investment Grade Bond และตราสารหนี้ High Yield Bond ที่มีอันดับเรตติ้งสูง (BB)
ด้านยุโรป ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรืออัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% คงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.50% และคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25% ซึ่ง ECB จะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับปัจจุบันหรือต่ำกว่าระดับดังกล่าวจนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวขึ้นสู่เป้าหมายของ ECB ที่กำหนดไว้ที่ระดับใกล้แต่ไม่เกิน 2% นอกจากนี้ ECB ยังคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามโครงการ PEPP ที่ระดับ 1.85 ล้านล้านยูโร โดยจะซื้อพันธบัตรตามโครงการดังกล่าวจนถึงเดือน มี.ค. ปีหน้า หรือจนกระทั่ง ECB พิจารณาว่าวิกฤติการแพร่ระบาดของ Covid-19 ได้ผ่านพ้นไปแล้ว
ด้านธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ทางด้านนโยบายการเงิน BOJ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ -0.1% และคงเป้าหมายอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีไว้ที่ระดับราว 0% พร้อมปรับประมาณการ GDP ปี 2564 ขยายตัว 3.9% (จากเดิม 3.6%) เศรษฐกิจญี่ปุ่นได้รับผลกระทบทางตรงทั้งภาคการส่งออกและภาคบริการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวซึ่งกดดันธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็กเป็นจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตามการควบคุมการแพร่ระบาดทำได้ค่อนข้างดี โดยเปรียบเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอย่างยุโรปและสหรัฐฯ ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจญี่ปุ่นแม้ไม่ได้แข็งแกร่ง แต่ยังอยู่ในระดับที่เครื่องมือทางการคลังและการเงินของรัฐบาลน่าจะสามารถรับมือได้
อีกปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามคือการจัดโอลิมปิกซึ่งญี่ปุ่นได้ลงทุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐานและเตรียมความพร้อมเพื่อการแข่งขันครั้งนี้เป็นอย่างมาก ต้องติดตามว่าจะสามารถเลื่อนการจัดไปได้เป็นช่วงเวลาใด และยังรับประโยชน์จากการท่องเที่ยวได้ในระดับไหนเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อในภาคบริการในประเทศ
ส่วนประเทศไทย เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 2564 กนง. มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยระบุว่าเศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับความเสี่ยงด้านต่ำและความไม่แน่นอนสูงในระยะข้างหน้า จึงต้องการแรงสนับสนุนจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินที่มีขีดจำกัดไว้ใช้ในจังหวะที่เหมาะสมและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ ยังระบุว่าความต่อเนื่องของมาตรการภาครัฐ และการประสานนโยบายระหว่างหน่วยงานมีความสำคัญต่อการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจในระยะต่อไป โดยนโยบายการเงินต้องผ่อนคลายต่อเนื่อง ขณะที่มาตรการทางการคลังต้องพยุงเศรษฐกิจโดยไม่ขาดช่วง
- สำหรับแนวโน้มของอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มเร่งตัวเข้าสู่กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 1-3% ในช่วงกลางปี 2564 และยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับกรอบล่างของเป้าหมายเงินเฟ้อตลอดทั้งปี
- กนง.มองสภาพคล่องยังกระจายตัวไม่ทั่วถึงตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่เพิ่มขึ้นจากฐานะการเงินเปราะบางมากขึ้นโดย เฉพาะภาคเอกชนที่มีความอ่อนไหวสูงต่อการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19
- อย่างไรก็ตามเราเห็นว่าคณะกรรมการมีความกังวลต่อค่าเงินบาทน้อยลง เนื่องจากเงินบาทเคลื่อนไหวสอดคล้องกับสกุลเงินภูมิภาคมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่คณะกรรมการจะยังคงติดตามพัฒนาการของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด
- ในเชิงนโยบาย กนง. มองเห็นความสำคัญของความต่อเนื่องของมาตรการภาครัฐ ขณะที่นโยบายการเงินต้องผ่อนคลายต่อเนื่อง มาตรการทางการเงินและสินเชื่อควรเร่งกระจายสภาพคล่องไปสู่ผู้ได้รับผลกระทบให้ตรงจุดและทันการณ์ รวมทั้งพิจารณามาตรการอื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อเสริมประสิทธิภาพการกระจายสภาพคล่องและเพื่อรองรับเศรษฐกิจช่วงฟื้นฟูในอนาคต
- นอกเหนือจากนี้ ธปท. ระบุว่าอาจจะพิจารณาปรับลดค่าธรรมเนียม FIDF ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 0.23% เพื่อช่วยลดภาระให้กับธนาคารพาณิชย์
มุมมองด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
คาดว่าเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยจะมีความชันเพิ่มขึ้น โดยกองทุนบัวหลวงคาดว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% ตลอดทั้งปีนี้ อีกทั้งสภาพคล่องในระบบการเงินที่ค่อนข้างสูงจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นปรับตัวได้ในกรอบจำกัด ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ปริมาณการออกพันธบัตร และการเคลื่อนไหวตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ แนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งความคืบหน้าในการพัฒนาและแจกจ่ายวัคซีน
ปัจจัยบวก/ลบต่อกองทุน
- (+) การถือตราสารหนี้ที่มี Duration ยาว จะช่วยกระจายความเสี่ยงในช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นผันผวนได้
- (+) ปัจจัยหนุนตลาดตราสารหนี้ ได้แก่ นโยบายผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางทั่วโลก
- (+) คาดว่าธปท. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ต่อไปจนถึงปลายปี
- (-) อัตราผลตอบแทนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ บอนด์ยิลด์ รุ่นอายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นมาเร็วและแรง ส่งผลต่อเนื่องมายังบอนด์ยิลด์ของไทยที่เพิ่มขึ้นแรงด้วยโดยเฉพาะรุ่นอายุ 8 ปี และ 10 ปี ทำให้ผลตอบแทนของตราสารหนี้ระยะยาวอาจมีการปรับตัวลดลง
- (-) ความกังวลถึงอันดับเครดิตตราสารหนี้ภาคเอกชน ตลอดจนความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออกตราสารหนี้หลายราย
- (-) ความผันผวนในตลาดการเงินโลก อัตราแลกเปลี่ยน
สรุปความเคลื่อนไหวค่าเงินบาท USD/THB
ค่าเงินบาทในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 15 ก.พ. 2564 ปิดที่ระดับ 29.886 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากสิ้นปี 0.26% การแข็งค่าอยู่ในระดับกลางของภูมิภาคเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) เนื่องจากมีค่าเงินหยวนแข็งค่ามากที่สุดที่ 1.4% ขณะที่ค่าเงินวอนของเกาหลีอ่อนค่ามากที่สุดที่ 1.25%
ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ได้แก่
- (+) แรงซื้อสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้นจากแรงหนุนของความหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
- (+) ข่าวดีเรื่องความคืบหน้าของวัคซีน Covid-19
- (+) สัญญาณผ่อนคลายทางการเงินอย่างต่อเนื่องของประธาน FED
- (-) เงินดอลลาร์สหรัฐ ได้รับแรงหนุนต่อเนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ดีกว่าที่คาด และความหวังต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
- (-) ความกังวลถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย
- (-) ความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 ระลอกใหม่ของไทย
หมายเหตุ: (+) ส่งผลให้เงิน THB แข็งค่า / (-) ส่งผลให้เงิน THB อ่อนค่า
Market Update: กองทุน B-ENHANCED
วันที่จดทะเบียน: 1 เม.ย. 2563
นโยบายการลงทุน: กองทุนกระจายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ในหลักทรัพย์ดังต่อไปนี้ โดยสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศโดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่เกิน 79% ของ NAV
- ตราสารหนี้ และ/หรือตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน
- หน่วยลงทุนของกองทุนรวม เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้ กองทุนรวมอีทีเอฟ (ETF) เป็นต้น
- หน่วยลงทุนของกองทุนรวมภายใต้การจัดการของบริษัทจัดการ โดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่เกิน 60% ของ NAV
- เงินฝากหรือตราสารเทียบเท่าเงินฝาก
กองทุนจะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) อย่างไรก็ดี กองทุนอาจลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Non – Investment Grade) และ/หรือตราสารหนี้ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated Securities) รวมกันโดยเฉลี่ยรอบปีบัญชีไม่เกิน 20% ของ NAV และอาจลงทุนใน Derivatives และ/หรือ Structured Note
นโยบายเงินปันผล: ไม่จ่าย
กลยุทธ์ในการบริหารกองทุน: กองทุนมีกลยุทธ์การลงทุนมุ่งหวังผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีชี้วัด (Active Management)
- ช่วง 1 เดือนครึ่งที่ผ่านมา (ม.ค. – 15 ก.พ. 2564) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับเพิ่มขึ้นทุกช่วงอายุคงเหลือในกรอบ 6 – 25 basis points โดยช่วงที่ปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากคือ ช่วงอายุคงเหลือ 4 – 10 ปี ปรับเพิ่มขึ้น 20 – 24 basis points และช่วงอายุคงเหลือ 14 – 21 ปี ปรับเพิ่มขึ้น 22 – 27 basis points
- ทั้งนี้ ทีมจัดการลงทุนประมาณการว่า ผลตอบแทนในช่วงไตรมาส 1 หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมน่าจะอยู่ราว 0.75 – 1.00% ต่อปี
- Portfolio Duration (ตราสารที่กองทุนถือครองมีอายุเฉลี่ย) 1.61 ปี ข้อมูล ณ วันที่ 29 ม.ค. 2564
ผลการดำเนินงานของกองทุน ณ 29 ม.ค. 2564(1)
(1) จัดทำขึ้นตามมาตรฐานการวัดผลการดำเนินงานของกองทุนรวมของสมาคมบริษัทจัดการกองทุน
(2) เกณฑ์มาตรฐาน หมายถึง ThaiBMA MTM Government Bond Index (Net Total Return) อายุ 1 – 3 ปี สัดส่วน 30% ของ ThaiBMA MTM Government Bond Index (Net Total Return) อายุ 1 – 3 ปี +40 bps หลังหักภาษี สัดส่วน 30% ของ NAV อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปี วงเงินน้อยกว่า 5 ล้านบาท เฉลี่ยของธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ หลังหักภาษี สัดส่วน 20% อัตราดอกเบี้ยเงนฝากสกุลเงินบาท (THBFIX) สำหรับรอบระยะเวาลา 6 เดือน หลังหักภาษี สัดส่วน 20%
สัดส่วนการลงทุน (% ของมูลค่าทรัพย์สิน ข้อมูล ณ 29 ม.ค. 2564)
B-ENHANCED ลงทุนในหน่วยลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ (ข้อมูล ณ 29 ม.ค. 2564)
- ลงทุนในหน่วยลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศมีทั้งหมด 4 กองทุน คือ
1.กองทุน AXA WF Emerging Markets Short Duration Bonds สัดส่วนการลงทุน 3.44%
กองทุนสามารถลงทุนได้อย่างไม่มีข้อจำกัดที่ถูกตีกรอบโดยดัชนีชี้วัด ซึ่งหมายถึงพอร์ตฟอลิโอสามารถให้น้ำหนักกับไอเดียที่ดีที่สุดและหลีกเลี่ยงการลงทุนในตราสารที่มีประเด็นในเชิงลบได้อย่างไม่มีข้อจำกัด
- กองทุนสามารถแสวงหาโอกาสในการสร้างผลตอบแทนได้ตั้งแต่พันธบัตรรัฐบาลที่อยู่ในระดับความเสี่ยงและแต่ให้ผลตอบแทนต่ำ ไปจนถึงหุ้นกู้เอกชนที่มีระดับความเสียงสูงกว่าแต่ก็ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเช่นกัน
- เส้นอัตราผลตอบแทนหรือ Yield Curve ของตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ในมีลักษณะแบนราบ ซึ่งหมายถึงการเลือกลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น “ไม่ทำให้” ได้ผลตอบแทนน้อยกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ
- ดังนั้น หลักการของกองทุนจึงนำเสนอการปกป้องในตลาดช่วงขาลง และ “ไม่เคย” ให้ผลตอบแทนแบบปีปฏิทินที่เป็นลบเลยตั้งแต่จัดตั้งกองทุน
2.กองทุน AXA WF Asian Short Duration Bonds Fund สัดส่วนการลงทุน 3.44%
- เป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นลงทุนในประเทศกลุ่ม Asian มีกลยุทธ์ที่ช่วยลดความผันผวน โดยเฉพาะในช่วงที่ธนาคารกลางทั่วโลกใช้นโยบายผ่อนปรนทางการเงิน (Quantitative Easing) ที่ก่อให้เกิดความผันผวนในตลาดตราสารหนี้ระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
- กองทุนมีกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสภาวะตลาดในทุกช่วงเวลา ทั้งช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นและดอกเบี้ยขาลง และยังทำผลงานได้ดีในช่วงสภาวะ Risk-on (ตลาดหุ้นขาขึ้น) และ สภาวะ Risk-off (ตลาดหุ้นขาลง) ด้วยเช่นกัน
- กองทุนให้ผลตอบแทนปรับด้วยความเสี่ยงในช่วง 5 ปี ดีกว่าดัชนีตราสารหนี้ในภูมิภาคต่างๆ* ทั้งในกลุ่มระดับลงทุน (Investment Grade) และกลุ่มต่ำกว่าระดับลงทุน (Non-Investment Grade หรือ High Yield)
- ได้อานิสงส์จากแนวโน้มการเติบโตของทวีปเอเชียที่อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ขาดเสถียรภาพ มีอัตราผลตอบแทนที่อยู่ในระดับต่ำ ในขณะที่โดยรวมมีความไม่แน่นอนสูงกว่าเกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินนโยบายสาธารณะต่างๆ
3. กองทุน Fidelity Asian Bond Fund Y-Acc-USD สัดส่วนการลงทุน 1.84%
- ลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลางถึงยาว ซึ่งจะได้รับประโยชน์โดยเฉพาะในช่วงที่ธนาคารกลางทั่วโลกใช้นโยบายผ่อนปรนทางการเงิน (Quantitative Easing)
- เน้นตราสารหนี้ในระดับ Investment Grade เพื่อลดความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้
- แนวโน้มการเติบโตของทวีปเอเชียที่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับทวีปอื่นๆ ของโลก
4. กองทุน Allianz Strategic Bond – RT – USD สัดส่วนการลงทุน 1.45%
- กองทุนมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มการเติบโตของเงินลงทุนในระยะยาวผ่านการลงทุนโดยตรงในตราสารหนี้ทั่วโลกโลกที่ออกโดยเอกชน รัฐบาล องค์กรเหนือรัฐ และองค์กรท้องถิ่น หรือลงทุนโดยทางอ้อมผ่านการใช้ตราสารอนุพันธ์ ฐานะการลงทุนในตราสารหนี้ไฮยิลด์และตราสารหนี้จีนอยู่ที่ไม่เกิน 50% และ 30% ของมูลค่าทรัพย์สินกองทุน ตามลำดับ
ประเด็นข่าวที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในตลาดตราสารหนี้
- ตราสารหนี้ในประเทศ
ธนาคารแห่งประเทศไทยยังคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำที่ 0.50% ทั้งปี 2564
- ตราสารหนี้ต่างประเทศ
อัตราผลตอบแทนบอนด์ยิลด์ของพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1.34 % สูงสุดในรอบ 1 ปี หลังสัญญาณเงินเฟ้อดีดตัว โดยตลาดมีความกังวลว่า Fed จะยุติการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน ทั้งนี้ ยังมีมุมมองที่ดีต่อตราสารหนี้เอเชีย เนื่องจากสหรัฐและเอเชียมีการบรรลุข้อตกลงทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งจะส่งผลดีต่อทรัพย์สินในตลาดเอเซีย