มุมมองของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังเดือนมีนาคมนี้ไปแล้ว อาจจะยังไม่ชัดเจน ถ้าหากรัสเซียยังคงรุกรานยูเครนต่อไป เนื่องจากความตึงเครียดที่เกิดขึ้นนี้ไปกดดันให้ราคาน้ำมันและน้ำมันเบนซินปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งหลักที่คนอเมริกันจำนวนมากต้องซื้อ และการบริโภคในสหรัฐฯ คิดเป็น 70% ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
สำหรับราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ปรับขึ้น ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของกองทัพรัสเซียที่เข้าไปในยูเครน และการคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ และพันธมิตร ซึ่งอาจจะนำไปสู่การจำกัดในฝั่งอุปทาน เนื่องจากรัสเซียเป็นผู้ส่งออกรายหลักน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ นอกจากนี้ยังเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดในกลุ่มข้าวสาลีและแร่แพลเลเดียม ทั้งยังเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ในกลุ่มนิกเกิล อะลูมิเนียม และโลหะอื่นๆ ด้วย
Mark Zandi หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ของหน่วยงานวิเคราะห์ของ Moody’s กล่าวว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับน้ำมันมากกว่าสิ่งอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ข้าวสาลี แพลเลเดียม และนิกเกิล โดยน้ำมันอาจจะราคาปรับขึ้น 10-15 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลได้ เพราะว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้น และอาจจะเพิ่มอีก 30-40 เซ็นต์ต่อแกลลอน สำหรับน้ำมันไร้สารตะกั่ว ซึ่งเท่ากับการเพิ่มขึ้นครึ่งเปอร์เซ็นต์ของอัตราเงินเฟ้อฝั่งผู้บริโภคเมื่อเทียบรายปี
ปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ อยู่ในระดับ 7.5% อยู่แล้ว เราจึงมองว่า มีความซับซ้อนมากขึ้นสำหรับการตัดสินใจของ Fed ที่ต้องพยายามควบคุมเงินเฟ้อและกลับไปสู่การจ้างงานที่เต็มที่
ที่มา : CNBC