https://www.youtube.com/watch?v=Asm-IjgJAVk
สรุปความสัมภาษณ์
ศิวกร มิตรสันติสุข CFA®
ทีม Investment Strategy
BBLAM
สวัสดีครับ ก็พบกันอีกครั้ง กับ B-SELECT จาก BBLAM ที่จะพูดถึงมุมมองกลยุทธ์การลงทุนในระยะข้างหน้า รวมถึง พูดถึงกองทุนรวมที่น่าสนใจ จาก BBLAM ที่สอดคล้องไปกับสภาวะการลงทุนในอนาคต โดยรอบนี้จะเป็น B-SELECT ประจำไตรมาสที่ 3 ปี 2022
ช่วงครึ่งปีหลัง การลงทุน ยังมีความเสี่ยง โดยผมมองว่า นักลงทุนอาจจะต้องจับตา อยู่สัก 2-3 ประเด็น ด้วยกันครับ
ประเด็นแรก คือ เรื่องของตัวเลขเงินเฟ้อทั่วโลก ที่คาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูง ด้านเงินเฟ้อในสหรัฐ ตลาดตอนนี้ คาดว่าจะเริ่มเห็นการชะลอตัวลงของเงินเฟ้อ ภายในช่วงไตรมาสที่ 3 นี้ โดยหนุนจากความไม่แน่นอนด้านราคาพลังงาน ในขณะที่แรงกดดันทางด้านเงินเฟ้อ จากราคาสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเมือง ยังมีแนวโน้มเร่งตัวสูงขึ้น โดยยิ่งเงินเฟ้อค้างสูงยาวนาน ก็จะยิ่งทำให้เงินเฟ้อเข้าไปอยู่ในความคิดผู้บริโภค อย่างล่าสุด ผลสำรวจอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะยาว ของผู้บริโภค จาก University of Michigan ได้ปรับเพิ่มขึ้น เป็น 3.3% จากระดับ 3% ถ้าตัวเลขเงินเฟ้อในใจผู้บริโภค ไม่ปรับตัวลดลง ตรงนี้ก็อาจจะเป้นปัญหา เพราะเหมือนจะเป็นการบีบบังคับให้ ธนาคารกลาง ต้องใช้ยาแรง โดยอาจจะมีความจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยให้รุนแรงกว่าคาด ซึ่งอาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจ เข้าสู่ภาวะถดถอยได้
ประเด็นที่ต้องติดตามถัดมาคือ การดำเนินนโยบายทางการเงินจากธนาคารกลางต่างๆ ยังคงมีทิศทางที่ตึงตัว ในช่วงที่เหลือของปี ตั้งแต่ต้นปีมา ธนาคารกลางสหรัฐได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยขึ้นแล้ว กว่า 1.5% และจาก Dot Plot ล่าสุด ก็ระบุว่า ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐ น่าจะปรับขึ้นอีกประมาณ 1.5% ภายในสิ้นปีนี้ และน่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีกเล็กน้อยในปี 2023 ก่อนที่จะปรับลดลงในปีถัดมา ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางของ ยุโรป หรือ ECB ก็คาดว่าจะเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุม เดือน ก.ค. ตรงนี้บ่งชี้ว่าการดำเนินนโยบายในประเทศหลักๆ ยังมีทิศทางที่ตึงตัวตลอดช่วงครึ่งปีหลังนี้ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อต่อตลาดการเงิน ของการปรับขึ้นดอกเบี้ย น่าจะเริ่มลดน้อยลงบ้างแล้วครับ จากการที่นักวิเคราะห์ได้ Priced in การขึ้นดอกเบี้ยไป จนถึงระดับเกือบ 3.5% ในปีหน้า จากดอกเบี้ยปัจจุบันที่ประมาณ 1.7% ซึ่งตรงนี้ก็บ่งชี้ว่า โอกาสที่จะเกิด แรงขายในสินทรัพย์เสี่ยงรุนแรง อย่างที่เราเจอในช่วงครึ่งปีแรก น่าจะลดลงไปพอสมควรครับ
ส่วนทางด้านการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ช่วงครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากผลกระทบของเงินเฟ้อ และการใช้นโยบายทางการเงินที่ตึงตัว อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ยังไม่ได้จะเกิดขึ้น แต่เราเริ่มเห็นสัญญาณการปรับลดประมาณการของการเติบโตเศรษฐกิจ อย่างต่อเนื่อง อย่างล่าสุด IMF ก็เพิ่งได้ปรับประมาณการการเติบโต GDP ของ สหรัฐลงเหลือ 2.9% ในปีนี้ จาก 3.7% ที่คาดไว้เดือนเม.ย. โดยให้เหตุผลของการปรับลดลง ว่า นโยบายการเงินที่ตึงตัวไปทำให้ความต้องการการบริโภค ปรับลดลง อีกทั้ง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐ ล่าสุด ก็ออกมาต่ำสุดๆ และต่ำกว่าช่วงที่เกิด วิกฤติน้ำมัน ในช่วงปี 1970 เสียอีก ผมเชื่อว่า ความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจถดถอย จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และถ้าไปดูสัญญาณของเศรษฐกิจถดถอย อย่าง Inverted Yield Curve อายุ 2 ปี และ 10 ปี ก็เริ่มบ่งชี้แล้วว่า โอกาสที่เศรษฐกิจ สหรัฐ จะถดถอย ในอีก 12 เดือนข้างหน้า มีอยู่ถึง 40% เลยทีเดียว
สรุปโดยภาพรวม การลงทุนช่วงครึ่งปีหลัง เรายังต้องเจอความเสี่ยงทางด้านเงินเฟ้อ ที่อาจจะมากกว่าคาด ในขณะเดียวกัน การเติบโตทางเศรษฐกิจ ก็มีความเสี่ยงที่จะต่ำกว่าคาด
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนช่วงครึ่งปีหลัง มองว่า เราอาจจะใช้ Barbell strategy โดยด้านหนึ่ง ลงทุนในสินทรัพย์ที่ค่อนข้างปลอดภัยหน่อย หรือทนทานต่อเงินเฟ้อ หรือผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง อีกด้านหนึ่งลงทุนในสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มในการเติบโตอยู่ สอดคล้องกับ Trend ในระยะยาว โดยที่ราคาได้ปรับลดลงมาจนน่าสนใจ โดย B-SELECT ในไตรมาสที่ 3 BBLAM แนะนำ 4 กองทุนเดิม เช่นเดียวกับไตรมาสที่ 2 ได้แก่ B-GLOB-INFRA, B-CHINE-EQ, B-INNOTECH, และ B-SIP
ก่อนที่จะเข้าถึงมุมมองของกองทุน 4 กองทุนของเรา ผมอาจจะขอสรุปผลการดำเนินงานของกองทุน B-Select ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา
ไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นไตรมาส ที่ค่อนข้างท้าทายสำหรับการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ หากไปดูดัชนีหุ้นโลกหรือ MSCI World All Country Index ปรับตัวลดลงถึง 15% แต่เชื่อไหมครับว่า กองจีนของเราอย่าง B-CHINE-EQ ปรับตัวขึ้นถึง 4% ด้าน B-Glob-Infra ปรับตัวลดลงเพียง 3% แต่อย่างกอง B-INNOTECH และ B-SIP ปรับตัวลดลงใกล้เคียงกับหุ้นโลก ดูโดยรวมๆ กองทุนทั้ง 4 ที่เราแนะนำไป ก็อาจจะถือว่าปรับตัวได้ดีกว่าหุ้นโดยรวมครับ
อัพเดทจุดเด่นของ 4 กองทุนนี้ และแนวโน้มในช่วงที่เหลือของปี
เริ่มที่ B-GLOB-INFRA กันก่อน กองทุนนี้ ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก โดยจะมีจุดเด่นตรงที่ผลประกอบการของหุ้นที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน มักจะมีสัญญาระยะยาว ที่จะสามารถปรับเพิ่มค่าบริการได้สอดคล้องไปกับเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจริง ยกตัวอย่างเช่น ค่าบริการขนส่งไฟฟ้า หรือค่าบริการใช้แก๊ส เป็นต้น สำหรับหุ้นโครงสร้างพื้นฐาน มักจะให้บริการที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต ดังนั้น การใช้งานจะถูกกระทบค่อนข้างน้อย แม้ว่า ภาวะเศรษฐกิจจะไม่เอื้ออำนวย กองทุน B-GLOB-INFRA ก็จะตอบโจทย์ที่ออกแนว Defensive ในสภาวะปัจจุบัน
ต่อมากองทุน B-CHINE-EQ หุ้นจีน คาดว่ายังปัจจัยบวกมาอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น ในปีนี้ เราน่าจะเห็นเม็ดเงินการคลังจากรัฐบาล กว่า 11% ของ GDP มาช่วยเศรษฐกิจ ซึ่ง Size นับว่าใหญ่พอๆกับปี 2020 เลยทีเดียว โดยเม็ดเงินจะไปลงทุนในพวกโครงสร้างพื้นฐาน ในช่วงระยะเวลาถัดจากนี้ รวมถึง เราเริ่มเห็นสัญญาณของกิจกรรมทางเศรษฐกิจจีน ที่ฟื้นตัวบ้างแล้ว อย่างเช่น ดัชนีภาคอุตสาหกรรม Manufacturing PMI เดือน มิ.ย. ออกมาขยายตัวตั้งแต่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือน ก.พ.ปีนี้ จากผลบวกของการทยอยเปิดเมือง ในขณะที่นโยบายการเงิน นักวิเคราะห์ก็คาดว่ายังคงผ่อนคลายต่อ ตลอดจนสิ้นปีนี้ ประเด็นต่างๆ ก็บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจจีน น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงไตรมาสที่ 2 และจะฟื้นตัวต่อเนื่อง ช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ทางด้านแรงกดดันต่อราคาหุ้นจีน โดยเฉพาะหุ้นเทคของจีน เริ่มดูน้อยบ้างแล้ว หลังจากที่ข่าวเกี่ยวกับการควบคุมดูแล หรือ การออกกฎระเบียบเกี่ยวกับหุ้นเทค เริ่มซาลง ถ้าเรากลับมาดูในเชิง Valuation กันบ้าง หุ้นจีนปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างเด่น ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทำให้ Valuation อย่าง MSCI China ขึ้นมาอยู่ที่ 12x ซึ่งใกล้เคียงกับหุ้นโลก แม้ราคาไม่ได้นับว่าถูกมากหากเปรียบเทียบกับ Valuation ในอดีตของจีน แต่แนวโน้มการเติบโตของกำไร ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ น่าจะออกมา ดีกว่าหุ้นโลก จากพัฒนาการเชิงบวกต่างๆในจีนที่ได้พูดไป ดังนั้นกองหุ้นจีนอย่าง B-CHINE-EQ ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีในช่วงไตรมาสที่ 3
กองทุนหุ้นเทคโนโลยี B-INNOTECH หุ้นเทค ไตรมาสที่ผ่านมา ถูกเทขายพอสมควร อย่างหุ้นเทค ขนาดใหญ่ Apple Amazon ก็ปรับลดลงระดับ 20-30% ในไตรมาส 2 ไตรมาสเดียว นับเป็นการปรับลง แรงสุดในรอบหลายๆ ปีเลยทีเดียว รวมๆ ด้าน Fundamental กลุ่ม Tech ความต้องการผลิตภัณฑ์จากหุ้นกลุ่มเทค ระยะสั้นๆ อาจจะได้รับผลกระทบบ้าง เพราะคนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติ กลับมาทำงานปกติมากขึ้น ทำให้ การใช้ Internet หรือบริการที่เกี่ยวข้อง อย่างเช่น บริการ Steaming หรือ Gaming ลดลง หลังจากที่คนใช้บริการกันมากช่วงเกิด Lockdown แต่ในระยะยาว การใช้งานบริการหุ้นกลุ่ม Tech ยังคงไม่ได้รับผลกระทบ ระยะสั้นๆ ความเสี่ยงยังคงมี เช่น การปรับลดประมาณการณ์ของกำไร แต่ผมเชื่อว่า การลงทุนหุ้นเทค สำหรับนักลงทุนระยะยาว ยังคงสามารถทำได้ ซึ่งราคาหุ้นเทค ได้ปรับลดลงมา น่าสนใจมากขึ้น เทียบกับช่วงต้นปี นักลงทุนสามารถลงทุนระยะยาว ในหุ้นเทคผ่าน B-INNOTECH หรือกองทุนประหยัดภาษี อย่าง B-INNOTECHRMF และ B-INNOTECHSSF ก็ได้ครับ
สุดท้ายกองทุน B-SIP ทาง BBLAM ยังคงเชื่อใน Trend การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง โดยในภาพใหญ่ ความต้องการ การลงทุนในพลังงานสะอาดทั่วโลก มีแนวโน้มที่จะเร่งตัวขึ้น // อย่างแผนพัฒนาพลังงาน RepowerEU ในยุโรป ก็จะเร่งให้เกิดการพัฒนาและลงทุนในพลังงานสะอาด เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากภายนอก หรืออย่างการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ก็เป็นเทรนระยะยาวที่ เติบโตขึ้นต่อเนื่อง ช่วงที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มพลังงานสะอาด ได้ปรับตัวลดลง ค่อนข้างมาก PE ของกลุ่มพลังงานสะอาดได้ปรับตัวลง เหลือประมาณ 18x ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนในอดีตแล้ว ส่วนการสะสมในหุ้นพลังงานสะอาดที่มี Trend การเติบโตชัดเจน ผมมองว่าก็ยังสามารถทำได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตามนักลงทุนอาจต้อง Note ไว้นิดนึงว่า การลงทุนในหุ้นพลังงานสะอาด อาจจะเป็นการลงทุนที่ยาว ในระยะยาวแล้ว นักลงทุนสามารถลงทุน B-SIP หรือ B-SIPRMF หรือ B-SIPSSF เพื่อรับประโยชน์ทางภาษีเพิ่มก็ยังได้