IMF ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกปีนี้ หลังการบริโภคและปัจจัยภายในของหลาย ๆ ประเทศออกมาดีเกิน เช่น สหรัฐอเมริกา และยุโรป นอกจากนี้ยังมีแรงสนับสนุนจากการเปิดประเทศของจีน และราคาน้ำมันและพลังงานเริ่มปรับตัวลง
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF คาดว่า เศรษฐกิจโลกในปีนี้จะขยายตัว 2.9% ซึ่งเป็นมุมมองเชิงบวกมากขึ้นจากคาดการณ์เดิมเมื่อเดือนตุลาคม ที่ประเมินว่า GDP โลกจะขยายตัว 2.7% อย่างไรก็ตาม ยังเป็นการเติบโตที่ชะลอตัวจากปี 2565 ที่อยู่ที่ 3.4% พร้อมคำเตือนว่าโลกอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยได้
ส่วนปี 2567 IMF คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะเร่งตัวขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 3.1% แต่ก็ยังต่ำกว่าที่คาดการณ์ในเดือนตุลาคมปีก่อน สาเหตุจากผลกระทบของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางในหลาย ๆ ประเทศที่พุ่งสูงขึ้นทำให้ความต้องการชะลอตัวลง
ปิแอร์-โอลิวิเยร์ กูรินชาส์ (Pierre-Olivier Gourinchas) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ IMF กล่าวว่า ความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้บรรเทาลงแล้ว และธนาคารกลางหลายๆ ประเทศเริ่มเห็นความสำเร็จในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ แต่ก็ยังมีงานอีกมากให้ต้องจัดการเพื่อควบคุมค่าครองชีพ รวมถึงความท้าทายจากภายนอก เช่น สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังยืดเยื้อ และการต่อสู้กับโรคโควิด-19 ของจีน
สำหรับปี 2566 IMF คาดการณ์ว่า GDP ของสหรัฐอเมริกาจะเติบโต 1.4% จากปีก่อนที่เติบโต 2.0% ได้แรงหนุนจากการบริโภคและการลงทุนที่แข็งแกร่งเกินคาดในไตรมาสที่สามของปี 2565 อีกทั้งตลาดแรงงานก็ปรับตัวดีขึ้น
ขณะที่ เศรษฐกิจสหภาพยุโรป มีแนวโน้มขยายตัว 0.7% ในปีนี้ ก่อนที่จะขยายตัว 1.8% ในปี 2567 เนื่องจากยุโรปสามารถรับมือและจัดการปัญหาต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นได้อย่างรวดเร็วกว่าที่คาดไว้ อีกทั้งราคาก๊าซธรรมชาติก็ปรับตัวลงด้วยเช่นกัน
ด้านสหราชอาณาจักร เป็นประเทศเศรษฐกิจชั้นนำของโลกเพียงแห่งเดียวที่ IMF คาดการณ์ว่าจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้ โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP จะขยายตัวแค่ 0.6% เนื่องจากครัวเรือนต้องต่อสู้กับค่าครองชีพ และค่าพลังงานที่สูงขึ้น
นอกจากนี้ IMF ยังได้เพิ่มแนวโน้มการเติบโตของจีนจากเดิม 4.4% เป็น 5.2% ในปีนี้ เนื่องจากจีนได้ยกเลิกนโยบายควบคุมโควิดที่เข้มงวดที่เคยฉุดรั้งการเติบโตของจีนจนเหลือเพียง 3.0% ในปี 2565 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยการเติบโตทั่วโลกเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 40 ปี อย่างไรก็ดี IMF มองว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวลดลงเหลือ 4.5% ในปี 2567 และจะปรับตัวลงมาต่ำกว่า 4% ในระยะกลาง เนื่องจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลง ผนวกกับการปฏิรูปโครงสร้างที่คืบหน้าค่อนข้างช้า
ในส่วนของอินเดีย IMF คาดการณ์ว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แต่การขยายตัวจะหดตัวลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 6.1% ในปีนี้ และจะเร่งตัวขึ้นเป็น 6.8% ในปีหน้า
นายกูรินชาส์ กล่าวว่า เศรษฐกิจจีนและอินเดียจะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ และถึงแม้การเปิดประเทศของจีนอาจสร้างแรงกดดันให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) สูงขึ้น แต่โดยรวมแล้ว การเปิดประเทศจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโลกมากกว่า เนื่องจากจะช่วยบรรเทาปัญหาคอขวดในการผลิตที่ก่อนหน้านี้เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ปัญหาเงินเฟ้อแย่ลง และจะช่วยให้อุปสงค์เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี แม้จีนจะเปิดประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว IMF คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันจะลดลงทั้งในปีนี้และปี 2567 เนื่องจากการเติบโตทั่วโลกชะลอตัวลง
ที่มา: รอยเตอร์